วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พูดคุยหลังสอบเสร็จ

ตอนนี้สอบ Mid term เสร็จแล้วครับ.. รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว


กรกฎาคมเดือนแห่งความวุ่นวาย ทำให้ผมได้รู้จริงๆล่ะว่า การทำงานและความรับผิดชอบมันใหญ่แค่ไหน


ผมเริ่มชินแล้วล่ะครับถ้าพรุ่งนี้คือวันจันทร์ 1 สัปดาห์มันผ่านไปเร็วมากจนคุณแทบไม่อยากเชื่อเลยทีเดียว ถ้าคุณใช้เวลาอย่างคุ้มค่า คุณจะพบว่า เราเสียเวลาอันมีค่าไปมากมายขนาดไหน..


สิ่งที่รอผมอยู่ตรงหน้าต่อไปนี้คือ project และหาที่เรียนต่อ 2 เรื่องใหญ่ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้นะครับ


เมื่อวันศุกร์เพื่อนๆสมัยประถม ที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบ 10 ปีสร้างกลุ่มบน facebook ขึ้นมา ทำให้ได้มาเจอกันอีกครั้ง แต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผมรู้สึกชอบ facebook ก็ตรงนี้ล่ะครับ วันนั้นทั้งวันจบด้วยการเล่าเรื่องสมัยประถมกันผ่าน social network เป็นอะไรที่แปลกดีเหมือนกันเนาะ คุณว่าไหม..


เพื่อนสมัยประถมที่ผมติดต่อด้วยจริงๆมีแค่คนเดียว คือ "โจ" ครับ ปัจจุบันเรียนอยู่ที่เภสัช ม.อุบล ผมกับโจได้มาอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้งตอน ม.4 และกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งทำงานด้วยกัน ช่วยกันเรียน ช่วยทำ(ลอก)การบ้าน ถือว่าผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะจริงๆครับ  ทุกวันนี้เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทไปเลย

ไม่สิ.. ผมไม่รู้จะใช้คำว่าเพื่อนสนิทกับโจได้ไหม  แต่โจเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมกล้าเล่าทุกเรื่องให้ฟังได้อย่างสบายใจ เป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมสามารถระบายได้ทุกเรื่อง ถึงหลังๆมาจะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ถ้าได้เจอกัน แค่ 1 วัน คุณเชื่อไหมว่าเรื่องที่ผมจะเล่าให้โจฟังยังไม่หมดเลยด้วยซ้ำไปนะ 5555++


เห็นเพื่อนสมัยประถมแล้ว.. เรื่องเก่าๆมันย้อนมาในหัวเอง ผมบอกตรงๆนะว่าจำเรื่องตอนประถมได้ดีกว่าตอนมัธยมด้วยซ้ำไป  ตอนนี้วางแผนกันว่านัดเจอกันสักครั้งแล้วไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยสอนเราก็ดีนะ ^__^


วันเสาร์.. วันที่หัวใจผมเต้นแรงและมีความสุข แค่ได้ไปกินข้าวกับคนที่เราชอบ คุณว่ามันมีความสุขไหมล่ะ..

เพื่อนผมเคยบอกนะว่า ปี 4 แล้วจะบอกอะไรก็รีบบอกไปเถอะหรืออยากให้จากกันแบบนี้ ไม่ต้องรับรู้อะไร ไม่รู้สิ ผมไม่รู้ว่าผมจะบอกไปทำไม เพราะถ้าผิดพลาดมามองหน้ากันไม่ติดมันจะไม่แย่ยิ่งกว่าเหรอ

แต่ความรู้สึกของผมมันกลับขัดแย้งกับการกระทำ เวลาผมอยู่กับน้องผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือว่าน้ำตา แม้แต่อารมณ์โกรธของน้อง ผมยินดีที่จะรับไว้หมด ไม่อยากให้น้องเอาไปให้ใคร.. ฟังดูเห็นแก่ตัวเนาะว่าไหม... แต่ถ้าคุณได้รักใครแบบที่ไม่ใช่ความใคร่หรือเสน่ห์หา ความรู้สึกเหล่านี้มันจะบังเกิดขึ้นมาเองแบบที่คุณไม่รู้ตัว

วันพฤหัส-ศุกร์นี้เทศกาลเข้าพรรษา และหยุดยาว 4 วันสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมมันคือการเฝ้าปลาน้อยโปรเจ๊ค (แงๆๆๆ TT^TT) แต่ก็ถือว่าจะได้ไปงานรับน้องของภาควิชาในวันเสาร์ที่ 4 อยู่ดีนั่นแหล่ะครับ ดีเหมือนกัน คริคริ...


สุดท้ายที่อยากบอกคือ "คุณโกหกคนอื่นได้ แต่คุณโกหกตัวคุณเองไม่ได้หรอก"





GOOD NIGHT KUB ^__^

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขอบคุณอาจารย์ในวันนี้


เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ จนกลายเป็นว่าทำให้ อ.หงุดหงิดพอสมควร

เนื่องจาก "นศ. ไม่รู้จักการฟังคำสั่งและจดจำรายละเอียดของงาน"


ผมบอกตรงๆ ในฐานะหัวหน้านะครับ..


ผมไม่โทษอาจารย์เลยที่ตำหนิพวกผมยกรุ่นกันในวันนี้


เพราะผมเห็นด้วยมากๆ ว่า "เพื่อนของผมเองส่วนใหญ่ไม่รู้จักการจดจำรายละเอียดของงานและการทำตามคำสั่ง ในเรื่องของการเขียนรูปแบบและนำเสนองาน"

อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ

นี่เป็นพื้นฐานการทำงาน ที่นักศึกษาจบใหม่ จะต้องมีไว้..


การฟังคำสั่งและจดจำรายละเอียดของงาน.. เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการทำงาน เพราะ เจ้านายของคุณเขาจะไม่พูดซ้ำสอง และ เพื่อนร่วมงานของคุณก็ไม่จดจำรายละเอียดงานของคุณหรอก


คุณจะต้องจดจำรายละเอียดของงานให้เสร็จในคราวนั้นและถ้ามีข้อสงสัย ต้องถามในตอนนั้นเลย


ถ้าหลังจากนั้นแล้ว คุณต้องคิดเองบ้างแล้ว! เว้นแต่ว่าคุณไม่รู้จริงๆ และคุณประเมินแล้วว่า ถ้ามันพลาดไปอาจส่งผลเสียต่องานได้ คุณจึงค่อยมาปรึกษาเจ้านายคุณอีกครั้ง


ผมเองก็เช่นกัน..


ผมไม่ได้ถือตัวเองว่าเป็นเจ้านายของเพื่อน แต่ผมขอสะท้อนมุมมองของผมออกมาบ้างว่า "ทำไมเวลาผมแจ้งหรือประกาศอะไรไป ทำไมเพื่อนจึงไม่สนใจ"

เช่น..


ผมแจ้งวัน-เวลา สอบกลางภาค,ปลายภาคไปก่อน 1 เดือนที่มีการสอบ (ผมทำแบบนี้ทุกครั้ง)

แต่พอใกล้สอบ.. เพื่อนมักจะมาถามอยู่ตลอดว่า "สอบวันไหน? กี่โมง?"



บอกตรงๆนะ ผมหงุดหงิดที่จะต้องตอบคำถามในสิ่งที่เคยแจ้งไปแล้ว




คุณไม่ลองมาเป็นหัวหน้าคุณไม่เข้าใจหรอกว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน ถ้าต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำๆอยู๋หลายรอบ และผมเป็นคนไม่ชอบพูดเรื่องเดิมๆ เพราะมันรู้สึกว่า "ที่กูแจ้งไปก่อนหน้านี้ พวกมึงไม่สนใจกันเลยใช่ไหม?"


ฉะนั้น.. ผมจึงไม่รู้สึกโกรธอาจารย์เลยด้วยซ้ำที่ตำหนิพวกผมในวันนี้


ผมกลับไปขอบคุณอาจารย์ด้วยซ้ำ ที่ตำหนิพวกเราในวันนี้ เพื่อว่าเพื่อนๆจะได้รู้ตัวสักทีว่า "การจดจำรายละเอียดของงาน" มันสำคัญแค่ไหน


BioMan @KKU

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

In my heart











ผมมีความสุขเมื่อคุณอยู่เคียงข้าง..


คุณทำให้ผมยิ้มได้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร...


หลายครั้งที่เราทะเลาะกัน.. แต่ผมไม่เคยโกรธคุณลงเลยสักครั้ง..




ผมมีความสุขเวลาเราไปทานข้าวด้วยกัน.. ดูหนังด้วยกัน...


แต่ผมยังไม่กล้าพอที่จะบอกความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณออกไป..




ขอโทษนะ




"ผมมันขี้ขลาด"....









เลือกสาย..




เกริ่นมาผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเกมส์นะครับ แนวๆ DotA สาย int, agi, strenth =__=* 


ผมหมายถึงการเลือกสายทางชีววิทยาของผมตะหาก หลังจากลังเลและเปลี่ยนไป-มาอยู่ 2 ปีกว่าๆ ก็เลือกสายได้ซะที


ตอนแรกที่เข้ามาเรียน คิดมาตลอดว่า พันธุศาสตร์ เหมาะกับตัวเองมากเพราะเป็นเรื่องที่เรียนแล้วเข้าใจที่สุดตอนม.ปลาย คิดแบบนี้อยู่ 2 ปีจนกระทั่งขึ้นปี 3 เจอวิชา vertebrate เข้าไปทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนใจ ผมว่าสัตววิทยาน่าสนใจกว่าเยอะอ่ะ ถึงตอนเรียนผมจะแทบคลั่งกับมันก็เถอะ แต่พอทำข้อสอบออกมาแล้วคะแนนผมดีเหมือนกันนะ  


นี่คือ step แรกในการเลือกสายของเด็กชีววิทยา มข.ครับ 


เอาง่ายๆว่า เข้ามาเรียนเนี่ย (ผมพูดในแง่สำหรับคนที่อยากเรียนจริงๆ ไม่ใช่คนที่เข้ามาเรียนเพื่อจะเอาใบปริญญาอย่างเดียว) จะต้องตอบตัวเองก่อนจบว่า "ตนเองถนัดอะไร" มันจะมี 3 สายใหญ่ๆครับคือ Plant (พฤกษศาสตร์) Zoo(สัตววิทยา) Genetic(พันธุศาสตร์)


แล้วการที่เลือกได้แล้วว่าชอบอะไร ไม่ได้หมายความว่าจะจบเลยนะครับเพราะมันจะมีสายย่อยๆของมันต่อไปอีก ขออธิบายดังนี้..




ถ้าเป็น plant และ zoo
สายย่อยจะเหมือนกันครับ เนื่องจากเป็นงานที่มีการศึกษามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ (อันนี้สาระนะครับไม่ใช่เรื่องตลก -- ชีววิทยามีการศึกษามานานมากแล้วตั้งแต่สมัยกรีก) นั่นก็คือ


- Taxonomy >> ชื่อภาษาไทยคือ "อนุกรมวิธาน" หรือ "ความหลากหลาย" -- สายนี้คือพวกบุกน้ำลุยป่าและเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์ แล้วเอาตัวอย่างนั้นมารวบรวม บันทึกข้อมูลต่างๆ เก็บไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน งานนี้สายนี้มองเผินๆเหมือนว่าเป็นงานที่ทำไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ นักชีววิทยารุ่นใหม่(โดยเฉพาะสาย Molecular)ชอบมองว่างานกลุ่มนี้ล้าหลัง แต่จริงๆแล้วงานอนุกรมวิธานเป็นงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะความหลากหลายทางชีวภาพเกิดขึ้นอยู่ตลอดไม่หยุดนิ่ง ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่ยังไม่ถูกค้นพบ และสิ่งมีชีวิตที่ถูกค้นพบแล้วก็มีการจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องตามข้อมูลใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นงานสายนี้จึงยังมีต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดและนับว่าเป็นสายงานที่เป็นรากฐานสำคัญของชีววิทยา 


- Physiology >> ชื่อภาษาไทยคือ "สรีรวิทยา" -- กลุ่มนี้ขอเรียกว่าพวกชอบลองของ เพราะชอบเอาสัตว์มาทรมาณโดยการฉีดสาร ความเย็น ความเค็ม บลาๆ อะไรก็ว่าไป (พูดเล่นนะครับ 55+) สายนี้โดยหัวใจหลักคือการหาเหตุผลมาอธิบายว่า "ทำไมจึงเกิดเช่นนั้น ทำไมจึงเป็นเช่นนี้" นับว่าเป็นสายงานที่ยากพอสมควร เอาง่ายๆ อย่างกระบวนการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) และการสลายพลังงานระดับเซลล์ (cellular respiration) ที่เราเรียนเห็นเป็นภาพกันอยู่ทุกวันนี้ จริงๆแล้วกว่าจะได้กระบวนการครบถ้วนนั้น ต้องใช้เวลานานเป็นสิบๆปี ทดลองเป็นร้อยๆพันๆครั้ง จึงจะได้ข้อมูลมาอย่างครบถ้วน สรีรวิทยาเป็นรากฐานสำคัญของการแพทย์ เภสัชในปัจจุบัน การทราบถึงต้นตอและสาเหตุการเกิดโรคก็ล้วนใช้สรีรวิทยาอธิบายทั้งสิ้น งานทางด้านสรีรวิทยาต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและการเก็บข้อมูลทุกอย่างไม่ให้ตกหล่นแม้แต่อย่างเดียว คนที่ทำงานสายนี้ได้จะต้องใจเย็นและมีความละเอียดอยู่พอสมควรเลยทีเดียวครับ  


- Anatomy >> ชื่อภาษาไทยคือ "กายวิภาคศาสตร์" -- นักชีวฯกลุ่มนี้คือพวกจก ล้วง แคะเครื่องในออกมาศึกษานั่นแหล่ะครับ หลายๆคนมักจะสับสนคำนี้กับ morphology แต่จริงๆแล้วเป็นคนละสาขากัน anatomy คือการศึกษาถึงโครงสร้างภายในทั้งอวัยวะ กระดูก กล้ามเนื้อ โดยมากจะใช้เป็นข้อมูลในการสนับสนุนงานทางด้านอนุกรมวิธานและเป็นสายงานที่ควบคู่กับสรีรวิทยา 




- Morphology  >> ชื่อภาษาไทยคือ "สัณฐานวิทยา" -- จะคล้ายๆกับ anatomy แต่เป็นงานที่ศึกษาถึงโครงสร้างภายนอกของสิ่งมีชีวิต ถ้าเป็นพืชก็ดูต้น ราก ใบ ดอก ผล ถ้าเป็นสัตว์ก็ดูหัว ลำตัว หาง แขน ขา อะไรประมานนี้ครับ ถือว่าเป็นสายงานสำคัญเช่นกัน เพราะการดูลักษณะภายนอกออกก็ทำให้สามารถระบุสิ่งมีชีวิตได้ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรืออุปกรณ์ไปผ่าดูลักษณะทาง anatomy ให้เสียเวลาด้วยซ้ำ





ถ้าเป็น genetic
สายนี้เป็นสายใหม่ของชีววิทยา เพิ่งเริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อปี 1980 และเป็นสายงานที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน นักชีววิทยาหลายคนอยู่ในสายนี้ เพราะข้อมูลทางพันธุศาสตร์เป็นการระบุความจำเพาะของสิ่งมีชีวิตได้ถูกต้องที่สุด --- สายนี้มีอีก 3 สายย่อย (ตามที่ผมพอทราบมา)

- Cytogenetic >> สายนี้คือ "เซลล์พันธุศาสตร์" ครับ การศึกษาจะอยู่ระดับโครโมโซมและการแบ่งเซลล์เสียส่วนใหญ่ ยังไม่ลงลึกถึงระดับยีน ตัวอย่างการศึกษาก็เช่น การทำแผ่นที่โครโมโซม การทำคาริโอไทป์ อะไรประมาณนี้ ส่วนตัวผมว่าสายนี้ดูเข้าใจที่สุดในกลุ่มพันธุศาสตร์แล้วล่ะครับ เพราะเราสามารถเห็นผลการทดลองได้อย่างชัดเจนกว่าสายอื่นๆ



- Molecular Biology >> สายนี้คือ "ชีววิทยาระดับโมเลกุล"  อันนี้คือสายใหม่ของทางชีววิทยา เริ่มต้นจริงๆเมื่อปี 1990 เป็นการศึกษาถึงระดับยีนและลงลึกไปถึง DNA แต่ ณ ปัจจุบันลงลึกไปถึงระดับ RNA แล้วด้วยนะครับ สายนี้เป็นสายที่สามารถตอบข้อสงสัยของสายอื่นๆได้ทุกสาย ในทุกวันนี้ชีววิทยาระดับโมเลกุลถูกยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยเฉพาะในด้านอนุกรมวิธาร สรีรวิทยา ชีววิทยาระดับโมเลกุลสามารถตอบได้เกือบทุกคำถามจริงๆ (ซึ่งผมว่าเป็นข้อดี) นี่เป็นสาขาใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบ และกำลังมีนักชีววิทยาสายนี้อยู่ทั่วโลก ในเมืองไทยเองสายนี้ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน อาจด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นสายงานใหม่และดูทันสมัยที่สุด (นั่นทำให้นักชีววิทยาสายนี้บางคนชอบถือตัวว่าเหนือกว่าสายอื่น และมักจะดูถูกสายงานอื่นๆอยู่เรื่อยไป -- ความคิดที่ไม่ดี เจอมากับตัวแล้วบอกตรงๆ อยากเอาตีนถืบยอดหน้า -*-) 



- Population Genetic  >> สายนี้คือ "พันธุศาสตร์ประชากร" ถือว่าเป็นสายที่มีมีนักชีววิทยาน้อยคนมากจริงๆ ที่ทำสายนี้ ผมไม่ค่อยทราบรายละเอียดเท่าไรนักในสายนี้ เพราะผมเพิ่งเจอ อ.ที่เป็นนักพันธุศาสตร์ประชากรจริงๆก็ปีนี้เอง และจากการได้ฟังการนำเสนองานวิจัยของอ.ท่าน พบว่า สายนี้ช่วยตอบโจทย์ในวิชาประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการได้เป็นอย่างดี หลายสมมติฐานหรือหลายข้อสงสัยที่ค้างคามาเป็นพันๆปี เช่น คนไทยมาจากไหนและสืบเชื้อสายมาจากใคร สายนี้สามารถตอบได้ โดยใช้ความรู้ทางชีววิทยาระดับโมเลกุลมาช่วยในการวิเคราะห์ สายนี้เป็นสายหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจนะครับ ;)






พูดมาซะเว่นเว้อ (55+) จะเห็นได้ว่าสาขาทางชีววิทยามีอะไรให้น่าศึกษาและค้นหาอีกมากมาย เด็กมัธยมมักเข้าใจว่าชีววิทยาคือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต แต่ถ้าลองได้มาเรียนดูจะพบว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นเยอะครับ 




ที่ผมกำลังศึกษาอยู่ตอนนี้คือ Animal Physiology ครับ (สรีรวิทยาของสัตว์) อย่างแรกล่ะคือผมชอบสัตว์ เพราะคิดว่า มันสามารถประยุกต์ใช้กับคนได้ ไม่ได้ว่าพืชจะประยุกต์ใช้กับคนไม่ได้นะครับแต่ผมไม่เข้าใจและคิดว่ามันยากจริงๆสำหรับผม 


physio เป็นงานที่ยากและต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ซึ่งคนอย่างผมไม่ค่อยมี 555+ แต่เวลาที่ผลออกมาเมื่อไร ผมรู้สึกดีและสนุกกับมันทุกครั้งจริงๆนะครับ ^_^



วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Diary 2o12

15 July 2012

ย้ายไปเขียน exteen blog อยู่ช่วงหนึ่งแต่มีปัญหาเรื่อง log in ซะงั้น กลับมาเขียนในนี้ละกัน -*- (เซ็ง)

มาบ่นๆระบายใน bolg นี่ล่ะครับ.. หายไปนานมากกก เกือบปีพอดี 55+






ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นความวุ่นวายที่่สุดแบบไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ทำให้รู้ว่า เรามันยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มตัวจริงๆซ้กทีสินะ T__T

ปี 4 สอนอะไรมากกว่าที่เราคิด เราทำตัวแบบเด็กๆตอน ปี 1,2,3 ไม่ได้อีกต่อไป เวลาว่างแม้แต่ 1 ชั่วโมงมีค่ามากขนาดไหน ปีนี้สอนได้ดีจริงๆ


อาจารย์ท่านเองก็เหมือนจะสอนเราว่า โตแล้วต้องหัดรับผิดชอบตัวเอง อ.ท่านให้งานมา ให้เวลาทำเป็นเดือนๆ ไม่ทวงถาม ไม่ตาม ไม่บ่น แต่ถึงเวลาต้องมีส่ง ---> นี่แหล่ะชีวิตแบบนักศึกษาของจริง

บทเรียน... เรียนแล้วไม่เข้าใจมี 2 ทาง 1.) เข้าไปถามอาจารย์นอกเวลา 2.) ค้นคว้าหาอ่านเองตามห้องสมุด

ไม่รู้ว่าเพื่อนๆผมคิดยังไงนะ. แต่ส่วนตัวผมชอบวิธีการเรียนแบบนี้มากๆ อาจเป็นเพราะ 1 ล่ะผมไม่ชอบการบังคับและ 2 คือผมชอบที่จะมีอิสระในการทำงาน

งานวิจัยผมตอนนี้พับเก็บอยู่ เพราะติดวิชาสัมมนา, รายงานแลป, สอบ Histo แต่ตอนนี้ได้ผ่านไปแล้ว (โล่งงงงง 55+)  เลยจะกลับมาทำอีกครั้งหนึ่ง และคงต้องทำจริงๆแล้ว เพราะเวลากำลังหมดลงไปทุกทีๆ


ปี 4 เป็นพี่ใหญ่.. นึกว่าจะได้พัก แต่รุ่นน้องก็ยังหาเรื่องปวดหัวมาให้อยู่ตลอด (เฮ้อออ.. ) แต่ผมเองก็ยินดีนะที่จะให้คำปรึกษาอยู่เสมอ เพื่อนผมหลายๆคน มองว่าผมจะไปยุ่งทำไม เราปี 4 แล้วปล่อยน้องไปเถอะ แต่ผมกลับมองว่า "เพราะเป็นปี 4 นี่แหล่ะ เลยยิ่งทิ้งน้องไม่ได้ ต้องคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง และปีนี้ก็ปีสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่กับน้อง"

ถ้าจบออกไป ผมคงคิดถึงน้องปี 3 ที่สุดล่ะครับ เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้ง 3 ปี น้องผมเป็นน้องที่น่ารักมาก และเข้ากับพวกผมได้ดีเป็นพิเศษ น้องปี 2 ใช่ว่าจะไม่ดีนะครับ แต่เพราะอาจเราห่างกันไป 1 ปีเลยทำให้ไม่ค่อยสนิทเท่าที่ควร  (จะสนิทกับน้องปี 2 บางคนเท่านั้น) แต่ยังไงน้องก็ยังน่ารักอยู่เสมอครับ ^_^

ผมกำลังคิดเรื่องเรียนต่อ ป.โทอยู่ คิดหนักพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แต่ที่เล็งไว้แน่ๆคือ อยากไป ม.เกษตร เพราะผมสาย zoology ถ้าจะให้ต่อที่ มข. คงจะพัฒนาตัวเองได้ไม่เต็มที่เท่าไร ฉะนั้นจึงตัดสินใจแล้วว่า "ถ้าจะต่อจาก pure science biology ต้องไปที่อื่น" แต่ถ้าจะไปแบบ applied science (แพทย์ สัตวะ) ผมต่อที่นี่ได้ แต่อยากไปแบบแรกมากกว่า 55+

เวลาของผม ณ ที่ มข.นี้ เหลืออีกไม่กี่เดือนแล้ว รู้สึกใจหายเหมือนกันครับ เพราะ 4 ปีนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ เดี๋ยวแปปก็จะจากเพื่อน น้องๆ อาจารย์แล้ว (เศร้า T_T)


ผมมีเรื่องที่อยากบอกน้องผม คนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด ว่าผมรู้สึกยังไงกับน้องเขา หลายๆครั้งดูเหมือนโอกาสจะเป็นใจให้เป็นแบบนั้น และบางครั้ง (ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า) ผมรู้สึกว่าน้องคิดเหมือนกันกับผม แต่ผมยังไม่กล้าพอที่จะบอกออกไปตรงๆ ว่าผมคิดยังไงกับน้อง แต่เวลาผมอยู่กับน้อง ผมมีความสุขมากๆ บางเวลาผมเครียดมา แค่ได้คุยกับน้องเขา (ไม่ใช่เป็นการระบายความทุกข์ด้วยนะ) คุยเรื่องไร้สาระไป น้องยังทำให้ผมยิ้มได้เลย.. กว่าผมจะรู้ตัวคือ ผมคิดกับน้องเขามากกว่าน้องคนหนึ่งซะแล้วด้วย

เรื่องหัวใจผมไม่รู้หรอกว่าจะหาทางออกยังไง แต่ช่วงนี้ยุ่งมาก เลยมีเวลาน้อยลง ทำให้คิดเรื่องนี้น้อยลงไปด้วย.. แต่ความรู้สึกผมมันยังเป็นแบบเดิมอยู่เสมอ

สัปดาห์หน้าก็ Mid Term แล้วด้วย สัปดาห์นี้ก็ยังคงเป็นช่วงแห่งการเตรียมสอบอีกตามเคย แต่ยังไงผมก็สู้ตายครับ ^_^

ShooT BioMan @KKU