วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

ชอนซุกบิน : ซินเดอเรลล่าแห่งโชซอน




พระสนมชอนซุกบิน เป็นหนึ่งในสนมเอกของพระเจ้าซุกจง กษัตริย์ลำดับที่ 19 ของโชซอน ประสูติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1670 ไม่ปรากฏพระนามเดิมที่แน่ชัด ทราบเพียงว่าแซ่ชอน และชาติกำเนิดดั้งเดิมของพระนางเป็นชนชั้นชอนมิน ซึ่งเป็นชนชั้นที่ลำดับต่ำที่สุดในโชซอน






แต่เดิมพระนางเป็นเพียงเด็กรับใช้ในวังซึ่งฐานะต่ำกว่านางในเสียอีก ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าในช่วงแรกที่เข้าวังพระนางเป็นเด็กรับใช้ในแผนกใดของวังหลวง ก่อนที่จะถูกย้ายมาเป็นเด็กรับใช้ในตำหนักของพระมเหสีอินฮอนราวๆ ปี ค.ศ. 1681 ในพงศาวดารบอกว่าพระนางเป็นเด็กหาบน้ำในตำหนักของพระมเหสีอินฮอน คาดว่าพระนางเข้าวังราวๆ ในช่วงปี ค.ศ. 1678




ปี ค.ศ. 1688 พระเจ้าซุกจงสั่งปลดมเหสีอินฮอนออกจากตำแหน่งและแต่งตั้งพระสนมจางฮีบินขึ้นเป็นมเหสีแทน นามว่า มเหสีจางอ๊กซาน ก่อนที่ในปีอีก ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 1694) พระเจ้าซุกจงโปรดให้มเหสีอินฮอนกลับเข้าสู่ตำแหน่งมเหสีอีกครั้งเนื่องจากทรงรู้สึกผิดต่อพระนางและให้มเหสีจางอ๊กซานกลับไปเป็นพระสนมฮีบินตามเดิม 


ในช่วงเวลา ปีที่มเหสีอินฮอนไปอยู่นอกวัง นอกจากซังกุงและนางในคนสนิทที่ติดตามไปรับใช้นอกวัง เด็กรับใช้ที่เหลือยังต้องอยู่ในวังต่อไป และอาจถูกส่งไปอยู่ตำหนักหรือแผนกอื่นๆ ในวังหลวง ไม่ทราบแน่ชัดว่านางในชอน ถูกส่งไปอยู่แผนกใดในวังหลวง หลังจากที่มเหสีอินฮอนไปอยู่นอกวัง





การพบกันครั้งแรกพระเจ้าซุกจงกับนางในชอนไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นเมื่อใด แต่มีเรื่องเล่าสุดควาสสิกที่เล่าต่อๆ กันมาในประเทศเกาหลีว่า 

"คืนหนึ่งพระเจ้าซุกจงทรงบรรทมไม่หลับ จึงทรงรับสั่งว่าอยากออกไปเดินเล่นนอกตำหนัก ทรงเสด็จพระดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงที่พักของเด็กรับใช้ ทรงได้ยินเสียงคนร้องไห้ออกมาจากห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ด้วยความประหลาดใจจึงทรงเข้าไปข้างใน และพบว่าภายในห้องนั้นมีแท่นพิธีสำหรับสวดมนต์และมีรูปของมเหสีอินฮอนอยู่บนแท่นนั้น และมีเด็กรับใช้คนหนึ่งซึ่งสวมชุดเด็กรับใช้ในวังเต็มยศ กำลังร้องไห้อยู่หน้าแท่นพิธี เป็นการแสดงถึงความรำลึกถึงมเหสีอินฮอนที่อยู๋นอกวัง สร้างความประหลาดใจให้กับพระเจ้าซุกจงเป็นอย่างมาก ทรงสงสัยว่าทำไมเด็กรับใช้คนหนึ่งถึงกล้าแอบตั้งแท่นพิธีสวดมนต์ให้กับมเหสีที่ถูกปลดออกจากวังไป โดยไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลของมเหสีองค์ปัจจุบัน พระเจ้าซุกจงทรงตรัสถามเด็กรับใช้คนนั้นไปว่า "เจ้ากำลังทำอะไร"

เมื่อได้ยินเสียงเด็กรับใช้คนนั้นหันกลับมา และตกใจอย่างมากเมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือพระราชา นางคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์และอ้อนวอนขอชีวิต พร้อมกับทูลแก่พระราชาว่า 'วันนี้เป็นวันครบรอบวันประสูติของพระมเหสีอินฮอน และหม่อมฉันเป็นเด็กรับใช้ของพระนาง ไม่อาจลืมพระเมตตาที่พระมเหสีทรงมอบให้กับหม่อมฉันได้ หม่อมฉันจึงตังแท่นบูชา เพื่อขอให้พระนางมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงเพคะ' 


เมื่อกราบทูลเสร็จ เด็กรับใช้คนนั้นยังทูลให้พระราชาลงอาญาเธอ พระเจ้าซุกจงได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความประทับใจต่อความจงรักภักดีในตัวของนาง ที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อตั้งแท่นพิธีสวดมนต์ให้กับมเหสีอินฮอน คืนนั้นทรงเสด็จกลับห้องบรรทมไปพร้อมกับเด็กรับใช้คนนั้น และทรงพบว่านางยังมีความรัก ความเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจในตัวของพระองค์อีกด้วย"




เรื่องเล่าดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1693 ซึ่งตามพงศาวดารบันทึกไว้ว่า เป็นปีที่เด็กรับใช้แซ่ชอน ได้ถวายตัวและได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมขั้นสี่นามว่า "ชอนซุกวอน" และพระนางได้มีโอรสให้พระเจ้าซุกจงในปีเดียวกัน คือ องค์ชายยองซู 




แต่ก็เกืดเรื่องน่าเศร้า เมื่อองค์ชายยองซูมีประสูติกาลได้ไม่นานก็สิ้นพระชนม์ สาเหตุการสิ้นพระชนม์ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่สร้างความสะเทือนใจให้กับสนมซุกวอนเป็นอย่างมาก

ในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1694 พระสนมซุกวอน ประสูติพระโอรสองค์ที่สอง ให้พระเจ้าซุกจง คือ องค์ชายยอนอิงและพระมเหสีอินฮอนได้กลับคืนสู่วังหลวงในปีเดียวกัน มเหสีอินฮอนจึงเลื่อนขั้นสนมซุกวอนให้เป็นสนมขั้นสอง นามว่า "ชอนซุกอึย" ก่อนที่ในปีต่อมา สนมชอนซุกอึยจะได้รับการเลื่อนขั้นอีกครั้ง (ปี ค.ศ. 1695) เป็นสนม "ชอนควีอิน"




ถ้าเทียบกับบรรดาสนมด้วยกัน พระสนมชอนถือว่าเป็นสนมที่พระเจ้าซุกจงทรงโปรดปรานคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหลังจากการถวายตัวเพียงแค่ 3 ปี ได้รับการปูนบำเหน็จและเลื่อนขั้นจากสนมขั้น 4 ไปสู่สนมขั้น 1 ในเวลาไม่นาน ส่วนหนึ่งนั้นน่าจะมาจากความจงรักภักดีที่มีต่อมเหสีอินฮอนด้วย ที่ทำให้พระนางก้าวหน้าไปได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ และนอกจากนี้ความสัมพันธ์ของพระนางกับพระสนมจางฮีบิน (มเหสีจางอ๊กซานที่ถูกลดพระยศให้กลับมาเป็นสนมดังเดิม) ก็เป็นที่เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าไม่ลงรอยกัน เนื่องจากพระนางเองเป็นคนในฝั่งของมเหสีอินฮอน




ปี ค.ศ. 1699 สนมชอนควีอิน ได้เลื่อนขั้นอีกครั้งเป็นสนมเอก โดยมีพระอิสริยศว่า "ชอนซุกบิน" อันหมายถึง สนมเอกผู้พร้อมด้วยจิตใจบริสุทธิ์และงดงาม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เทียบเท่ากับพระสนมจางฮีบิน 




ปี ค.ศ. 1701 พระมเหสีอินฮอนสิ้นพระชนม์กระทันหัน โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด มีสองข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ คือ ถูกวางยาพิษลอบปลงพระชนม์ และ ประชวรด้วยโรคหัวใจที่ทรงเป็นตั้งแต่ออกไปอยู่นอกวัง

เป็นที่ทราบกันดีว่าการเมืองในยุคพระเจ้าซุกจงมีการขับเคี่ยวกันอย่างรุนแรง ขุนนางกลุ่มที่สนับสนุนมเหสีอินฮอนคือกลุ่มตะวันตก เมื่อมเหสีอินฮอนสิ้นพระชนม์ลง พวกเขาจึงหันมาสนับสนุนสนมชอนซุกบินแทน โดยการพยายามดันให้พระนางขึ้นเป็นพระมเหสี แน่นอนว่าขุนนางอีกกลุ่มคือกลุ่มใต้ ซึ่งสนับสนุนสนมจางฮีบินคัดค้านอย่างรุนแรง

**มองกันด้วยเหตุผลและความเหมาะสม สนมจางฮีบินมีความเหมาะสมมากกว่าสนมชอนซุกบินอย่างแน่นอน ทั้งความอาวุโสกว่าและตำแหน่งมารดาขององค์รัชทายาท**

แต่เกิดเรื่องเสียก่อน เมื่อพระเจ้าซุกจงจับได้ว่าสนมจางฮีบินลักลอบทำคุณไสยภายในตำหนักของตนเองเพื่อสาปแช่งวิญญาณของมเหสีอินฮอน ทำให้ทรงพิโรธมาก จึงสั่งสอบสวนสนมจางฮีบินรวมทั้งแม่และพี่ชายของสนมจาง พร้อมทั้งกักตัวพระนางไว้ในตำหนักเป็นเวลา 1 เดือนเพื่อรอการสอบสวน อีกทั้งขุนนางกลุ่มฝ่ายใต้ที่ให้การสนับสนุนพระนางก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย ทำให้ขุนนางฝ่ายใต้แทบจะสูญเสียอำนาจไปจนหมดสิ้น




ผลของคดีในครั้งนี้ สนมจางฮีบินถูกโทษประหารชีวิต โดยการประทานยาพิษ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1701 หลังจากประหารสนมฮีบินได้ 3 วัน และพระเจ้าซุกจงได้ทำการแก้กฏมณเฑียรบาลของราชสำนักฝ่ายใน ทรงรับสั่งว่า “ต่อไปนี้สืบไปในภายภาคหน้า ห้ามให้มีการแต่งตั้งสนมวังหลังขึ้นเป็นพระมเหสีเด็ดขาด หากมเหสีองค์ปัจจุบันสิ้นพระชนม์ ให้มีการอภิเษกใหม่เท่านั้น และให้พระราชาองค์ต่อๆไปของโชซอนถือปฏิบัติร่วมกัน”

เมื่อกฏหมายฉบับนี้ออกมา แน่นอนว่ากลุ่มตะวันตกไม่สามารถทูลให้พระเจ้าซุกจง ทำการแต่งตั้งสนมซุกบินขึ้นเป็นพระมเหสีได้อีกต่อไป 


**แม้จะทรงรักสนมซุกบินมากเพียงใด แต่โชซอนในสมัยนั้นปรัชญาและหลักการของขงจื๊อมีอิทธิพลต่อการปกครองเป็นอย่างมาก และด้วยชาติกำเนิดของสนมซุกบินที่เป็นชนชั้นทาสมาก่อน นอกจากจะผิดหลักขงจื้๊อแล้วอาจถูกต่อต้านจากราษฏรได้อีกด้วย ที่แม่ของแผ่นดินมาจากชนชั้นทาส  ซึ่งเรื่องชาติกำเนิดของสนมซุกบินนี้ยังส่งผลไปจนถึงสมัยของพระเจ้ายองโจ (องค์ชายยอนอิง) อีกด้วย**






หลังการออกกฏหมายห้ามแต่งตั้งสนมขึ้นเป็นมเหสี พระเจ้าซุกจงอภิเษกสมรสใหม่กับลูกสาวของคิมโจชิน ซึ่งมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น และแต่งตั้งนางเป็น พระมเหสีอินวอน 




แม้จะมีอำนาจหรือแรงหนุนจากขุนนางกลุ่มตะวันตกมากเพียงใด แต่สนมซุกบินกลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้มากเท่าใดนัก สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพระนางแล้วคือ องค์ชายยอนอิง ลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น 

สนมซุกบินทรงเลี้ยงดูองค์ชายยอนอิงด้วยความรักและเอาใจใส่ อีกทั้งยังสอนให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น วิธีการสอนลูกของสนมซุกบินนั้นแตกต่างไปจากระเบียบและธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งก็ได้ ที่ทำให้องค์ชายยอนอิงเมื่อครองบัลลังก์แล้วมีแนวคิดในการบริหารราชกิจที่นำโชซอนไปสู่ยุคทองของความรุ่งเรือง 

ปี ค.ศ. 1703 มเหสีอินวอนทรงรับองค์ชายยอนอิงเป็นลูกบุญธรรมอีกคนหนึ่ง (ก่อนหน้านี้ทรงรับรัชทายาทลียุนเป็นลูกบุญธรรมไปแล้วเช่นกัน) ทำให้สนมซุกบินหมดห่วงในเรื่องอนาคตขององค์ชายยอนอิง พระนางจึงย้ายไปประทับอยู่นอกวังหลวง


**เชื่อว่าการย้ายออกไปประทับนอกวัง เป็นการตัดสินใจของสนมซุกบินเอง สาเหตุอาจเป็นเพราะว่าไม่อยากสร้างความลำบากพระทัยให้แก่มเหสีอินวอน (ช่วงเวลานั้นสนมซุกบินอายุ 31 ปี มเหสีอินวอนอายุเพียง 18 ปีและเพิ่งเข้าวังมาทีหลัง) แน่นอนว่าบรรดาคนของฝ่ายในย่อมให้ความยำเกรงแก่สนมซุกบิน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุด (ตามความเหมาะสม) ของฝ่ายในไปแล้วในช่วงเวลานั้น**





ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสนมซุกบินและมเหสีอินวอนเป็นอย่างไร แต่กับองค์ชายยอนอิงแล้ว ทรงรับสั่งถึงมเหสีอินวอนอยู่เสมอๆว่า 'นางเหมือนพี่สาวของข้าคนหนึ่ง'

สนมชอนซุกบินใช้ชีวิตอยู่นอกวังตั้งแต่ปี ค.ศ. 1703 และไม่เคยเสด็จกลับไปประทับยังวังหลวงอีกเลยตลอดพระชนม์ชีพ ทรงตั้งศูนย์เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนและคอยรับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน จนเป็นที่กล่าวถึงในแง่ของความเมตตาและความดีจากราษฎรอยู่ตลอดเวลา 




พระสนมชอนซุกบินเริ่มประชวรหนักในปี ค.ศ. 1716 องค์ชายยอนอิงทรงดูแลพระมารดาอย่างใกล้ชิด พระนางประชวรอยู่เป็นเวลา 2 ปี ก็สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1718 ด้วยพระชนมายุเพียง 49 พรรษา 


**เชื่อกันว่าพระเจ้าซุกจงทรงสะเทือนพระทัยต่อการจากไปของสนมซุกบินเป็นอย่างมาก ถึงขั้นประชวรหนักจนว่าราชการอีกไม่ได้ จึงแต่งตั้งรัชทายาทลียุนให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน ก่อนที่พระเจ้าซุกจงจะสวรรคตในอีก 2 ปีต่อมา (ค.ศ. 1720)**





หลังการสิ้นพระชนม์ สนมชอนซุกบินไม่ได้รับการฝังอย่างสมพระเกียรติ ด้วยเหตุผลเรื่องชาติกำเนิด จนกระทั่งองค์ชายยอนอิง ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ายองโจ ทรงสร้างสุสานให้พระสนมซุกบินชื่อว่า "สุสานซอโยงวอน" (Soryeongwon) เป็นสุสานแห่งหนึ่งที่สวยงามที่สุดของโชซอน พร้อมทั้งทรงสลักข้อความจารึกถึงพระมารดาด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งเถลิงยศพระนางให้เป็น "สมเด็จพระราชินีฮวายอง"


5 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. เพิ่งมาตามอ่านค่ะ อ่านมาตั้งแต่แรกเริ่มเขียนเลย
    อ่านมาจนเช้าเลยค่ะ 55555555555
    ชอบสไตล์การเล่าเรื่องมากเลยค่ะ อ่านง่าย เพลินดี
    อยากให้เขียนอีกจังค่ะ จะตามอ่านต่อนะคะ ^^

    ตอบลบ
  3. อันนี้เจ๋งกว่าเรื่อง ยุคดำ ของกษัตริย์พระองค์นั้นอีกค่ะ
    อันนี้เจ๋งๆ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณนะครับ อ่านแล้วเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์เยอะมาก

    ตอบลบ
  5. รักและชื่นชมทงอีที่สุดดดด

    ตอบลบ