วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Love Story






หลายคนมีนิยามความรักเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน.. มันจะเปลี่ยนไปตามวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้นตามอายุของเรา.. ผมเองก็เช่นกัน

รักแรกของผมเกิดตอนป. 6 ความรักแบบเด็กๆ ผมว่าคงมีหลายคนล่ะที่เคยมี แต่เราไม่เคยจำรายละเอียดของมันได้หรอกครับ ก็เด็กนี่นา ไม่ประสีประสาอะไรหรอก แต่ความคิดมีอย่างเดียวสำหรับความรักตอนนั้นคือ "ทำยังไงที่จะให้เราอยู่ในสายตาของเธอคนนั้น"

ตอนนั้นผมยังชอบผู้หญิงอยู่ครับ.. รักแรกของผมเป็นผู้หญิงครับ จริงๆอย่าบอกว่ารักแรกดีกว่า รักเขาข้างเดียวมากกว่าครับ



ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นตอนม.6 เว้นไปเกือบ 6 ปีแน่ะครับ ไม่ต้องถามว่าทำไม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คราวนี้เกิดกับผู้ชายครับ.. ใช่ครับผมเป็นเกย์ ไม่รู้หรอกว่าเป็นได้ไง ไม่ต้องถามสาเหตุครับ ถ้าทราบป่านนี้คงมียารักษาไปนานแล้ว 555+

ผมจริงจังกับรักครั้งที่ 2 ครับ จริงจังมากจนมันหลุดจากไป  ผมได้เรียนรู้อย่างนึงว่ารักไม่ใช่การครอบครองหรือดื้อรั้นที่จะเอา แต่มันคือการยอมรับความจริงที่อาจทำให้เราต้องเจ็บปวด.. ทุกวันนี้คนที่ผมเคยรัก เขาเป็นน้องชายที่ผมรักที่สุด เราคุยกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องอะไร



ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นตอนปี 1 คนที่ผมชอบเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม เขาเรียน MED ครับ แต่ว่าเราไม่เคยที่จะมีเวลาให้กัน มันเลยทำให้ห่างไปโดยไม่รู้ตัว ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยได้เจอเขาแล้วครับ จะเจอบ้างก็งานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนแค่นั้นแหล่ะครับ



ครั้งที่ 4 เกิดขึ้นตอนปี 2 ผมทำกิจกรรมอย่างหนึ่งให้คณะ และผมเกิดชอบกับน้องปี 1 คนนึง (ตอนนี้น้องเขาอยู่ปี 3 แล้วครับ) แต่คราวนี้ผมให้มันเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่บุ่มบ่ามหรือรีบร้อนเหมือนครั้งก่อนๆที่ผ่านมา เราไปเที่ยวกัน กินข้าวกัน ดูหนังด้วยกันบ่อยมาก จนเพื่อนผมเองก็เริ่มแซว แต่ผมไม่ค่อยแคร์อะไร เพราะถ้าอะไรผมทำแล้ว happy ผมจะทำและอีกอย่างมันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม

ผมตัดสินใจบอกชอบน้องเขาไปในเดือนมกราคม (เรารู้จักกันตอนเดือนพฤศจิกายนครับ) แต่ก็ไม่มีคำตอบจากน้องเขาว่า "yes" หรือ "no" ผมรอคำตอบอยู่ 1 เดือน ผมจึงตัดสินใจยุติความสัมพันธ์มันไว้แค่นั้น ผมไม่รู้หรอกว่าน้องเขาจะคิดยังไง เพราะผมเดินออกมาจากตรงนั้นเลย เหมือนปิดประตูไม่ขอรับรู้อะไรอีก ผมอาจดูเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่ว่าผมไม่อยากคิดมากอีกในตอนนั้น จึงจบมันลงซะ



และ
ครั้งที่ 5.. ซึ่งยังคงเป็น present continues tense

มันเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ.. อาจเรียกว่า "รักที่เกิดจากความใกล้ชิด" ก็ได้มั้งครับ (นึกถึงเพลงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ ของ ETC เข้าไว้ครับ 555+ =_='')

อยากบอกว่าเป็นแบบนั้นจริงๆครับ ผมไม่รู้ตัวว่าผมรักน้องเขาไปตั้งแต่เมื่อไร อ้อ..ลืมบอกว่าคนนี้เป็นรุ่นน้องผมครับ เรียน major เดียวกัน น้องปี 3 ครับ :P

เราสนิทกันครั้งแรกตอนออกค่ายของภาควิชาครับ ตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ปี 2 ช่วงเดือนมีนาคม พอจบค่ายก็ไม่ค่อยได้คุยกัน.. ผมรู้แต่ว่าน้องเขาชอบเคโรโระเหมือนกันผม เราเริ่มคุยกันจริงๆก็ช่วงมิถุนา-กรกฎาครับ ไปดูหนังด้วยกัน กินข้าวด้วยกันบ่อยขึ้น ยอมรับว่าช่วงดังกล่าวผมเริ่มรู้สึกแปลกๆกับน้องขึ้นในใจแล้วแต่ผมยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง... ณ ตอนนั้น!

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น..


"I hug you in my arm, lied you down on your bed and we talked about our life. I see your eye, my body is lied on your body and i feel your heartbeat that in your chest. "


จากวันนั้น.. ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าหัวใจผมกำลังมีความรักอีกครั้ง

แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน...  "เราทะเลาะกันครับ"

อาจเพราะผมเข้าไปคุยไม่ถูกช่วง.. ช่วงนั้นใกล้สอบปลายภาคแล้วเหมือนน้องจะเครียดอยู่ ผมเลยโดนระเบิดอารมณ์ซะชุดใหญ่ >> ตอนนั้นเสียใจครับ ร้องไห้ไปหลายวันเลยล่ะ.. แต่สุดท้ายก็ค่อยกลับมานั่งคิดทบทวนใหม่ ผมเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรครับ เพราะหลายครั้งผมเองก็เคยเป็นเวลาเครียดแล้วไม่อยากคุยกับใคร

จริงๆเกิดเรื่องคราวนี้ก็ดีเหมือนกัน.. มันทำให้ผมแน่ใจในความรู้สึกของผมล่ะตอนนี้

เรามึนใส่กันอยู่ 3 เดือนครับ.. ช่วง 3 เดือนก็คุยกันอยู่ครับ แต่ประหยัดคำพูดมาก จนหลายครั้งผมเริ่มคิดที่จะตัดใจ.. แต่สุดท้ายเราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมครับ..

และมีหลายครั้งที่ผมต้องโดนน้องระเบิดอารมณ์ใส่.. แต่ผมพยายามนับ 1-10 ในใจแล้วไม่เก็บมาคิดมาก จนตอนนี้ชินแล้วครับ เข้าใจล่ะว่าน้องเป็นคนแบบเนี้ยย (นิยามที่ผมมีให้นะครับ "ปากดีเป็นหนึ่ง ขี้แยโครตๆ แต่ความคิดก็เป็นผู้ใหญ่ใช่ได้")

จนถึงตอนนี้ก็ 1 ปีแล้วครับที่ได้คุยและรู้จักกัน หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่รุ่นพี่จะคุยกับรุ่นน้อง แต่ผมขอบอกตรงๆนะครับ ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วผมไม่เคยเปิดใจหรือคุยกับใครง่ายๆ รุ่นน้องก็สนิทกับผมหลายคน แต่คนนี้ไม่ใช่ครับ "คนนี้เป็นคนแรกและคนเดียวที่ผมคุยด้วยอย่างเปิดเผย ทั้งเรื่องส่วนตัวจนไปถึงเรื่องความชอบส่วนตัว" และบอกตรงๆว่า ผมไม่เคยสนใจใครเป็นปีๆขนาดนี้ครับ

ถามว่าได้บอกว่า "รักหรือชอบ" ไปรึยังน่ะเหรอ... บอกตรงๆว่า "ยัง" ครับ


ผมก็ไม่รู้ว่าผมรออะไรน่ะครับ เพราะว่าผมจริงจังกับสองคำนี้มาก ถ้าพูดออกไปแล้วผมจะมีอาการที่แสดงออกมาประมานว่า "แสดงความเป็นเจ้าของ" อย่างเต็มที่ ผมกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วผมคนนั้นจะแสดงออกมา ทำให้น้องเบื่อและหน่ายผมไปเลยก็ได้ อีกอย่างคือ ถ้าบอกไปแล้วน้อง ''No" ขึ้นมา ผมคงทำใจไม่ได้แน่นอนครับ ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะบอก ผมกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในชีวิตอยู่ เพราะจะต้องหาที่เรียนต่อโทครับ

บางทีก็คิดว่าอยากจะบอกตอนจบปี 4 นี่ล่ะครับ.. ถ้าน้อง yes ผมจะถามต่อไปว่า "รอพี่ได้ไหม" และผมจะไม่มองหรือมีใครในช่วงเรียนโทจนจบเอก แต่ถ้าน้อง no ผมก็จะยุติเรื่องของเราไว้แค่นี้ เหลือไว้แค่คำว่า "พี่-น้อง" และผมคงจะไม่มีใครอีกแล้ว เพราะคนๆนี้ จะเป็นคนสุดท้ายจริงๆ ผมจะไม่มีใครอีกแล้ว ชีวิตที่เหลือผมจะมีให้กับงานของผมและครอบครัวของผมเท่านั้น


 ผมไม่อยากเป็นเกย์หรอครับ จริงๆนะ แต่มันเลือกไม่ได้จริงๆ ถ้าให้ผมไปแต่งงานและมีครอบครัวกับผู้หญิง ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ครับ.. สงสารผู้หญิงคนนั้นและลูกของผมที่จะเกิดมา ถ้ารู้ว่าพ่อเขาเป็นเกย์ เป็นคุณ คุณรับได้เหรอครับ

แม่ผมเองก็รู้เรื่องหมดแล้ว.. ถึงจะปิดยังไง พ่อกับแม่ก็รู้อยู่ดีแหล่ะครับ เขาเป็นพ่อ-แม่ เราคนที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิด แม่ผมบอกแค่ว่า "ยังงี้ไงแกต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าเดิม อย่าให้ใครมาดูถูกแกได้" บอกตรงๆนะครับ ตอนแรกก็ตกใจตอนแม่โทรมาหาแล้วบอกว่า "รู้หมดแล้วว่าแกน่ะเป็นอะไร" แต่พอผ่านวันนั้นมาแล้วผมโครตมีความสุขเลยนะคุณรู้ไหม ^__^


ถ้าถามว่ากับน้องคนนี้จะเป็นยังไงต่อไปนั้น.. ผมก็ยังไม่รู้ครับ  มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ผมไม่อยากคาดเดา ตอนนี้ผมคิดอย่างเดียวคือ "ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วอนาคตมันจะดีเอง"

BioMan @KKU


วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เก็บมาเล่าให้ฟัง..

คนไทยมักชอบบอกว่า  "เกาหลีชาตินิยม ดูถูกชาติอื่น"

เข้าข่ายสุภาษิต "ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา" ซะบ้างเถอะ ไทยเองก็ชาตินิยมพอกัน


อีก  3  ปี สมาคมอาเซียนจะรวมเป็นหนึ่ง 11 ประเทศในอาเซียนกำลังพัฒนาตัวเอง

ยกเว้น.. ไทย


ทุกวันนี้ผู้นำเรายังหลอกประชาชนให้หลอกตัวเองไปวันๆว่า "ไทยเราเป็นพี่ใหญ่แห่งอาเซียน" ยังไม่รู้จักยอมรับความจริงกันซะบ้าง

ถ้าเทียบกันในตอนนี้เราเป็นรอง เวียดนาม สิงค์โปร์ มาเลเซีย 

ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อีกไม่นานคงแซงหน้าเรา... ถ้าเรายังเป็นอยู่แบบนี้


ที่ตลกสุดเลยนะ.. วันก่อนผมเข้าไปอ่านกระทู้ใน pantip มีบาง comment บอกว่า "อาเซียนจะใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง เพราะเราเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญ"

ได้อ่าน comment นี้แล้วได้แต่คิดว่า... "กบในกะลา ยังมีอยู่จริงว่ะ"


เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ฟังเพลง "ตื่นเถิดชาวไทย.. อย่าหลับไหล.." แต่เชื่อล่ะว่าเป็นเพลงที่เปิดไว้เพื่อไม่ให้มันสูญหายไปตามกาลเวลาเท่านั้น คนฟังไม่ได้คิดอะไรหรอกกก..

บาง comment ก็มองโลกในแง่ดีมาก "AEC อยู่ได้ไม่เกิน 3 ปีหรอก เดี๋ยวก็ล่มไปเอง"
คือ.. จะไม่ทำอะไร รอให้มันล่มไปก่อนใช่ไหม??


ตอนแรกผมคิดว่าคนไทยตื่นตัวกับ AEC มาก แต่เพิ่งประจักษ์เมื่อเร็วๆนี้เองว่า บางคนยังหลับไหลอยู่ ไม่เดือดร้อนว่ามันคืออะไร


สงสัยต้องรอให้ประเทศใน AEC แห่เข้ามาทำงานในไทยก่อนล่ะมั้ง.. ถึงจะสำนึกได้ เพราะตอนนั้นเชื่อว่าคนไทยมากกว่า 70% แน่นอน จะเป็นได้แค่แรงงานให้นายทุนต่างชาติเท่านั้น

แต่ให้ผมเดานะ... ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไรจะเกิดกระแสต่อต้านต่างชาติอีก ด้วยเหตุผลว่า "นี่บ้านกู มึงเป็นใครมาหากินในบ้านกู แล้วยังเอาคนในบ้านกูไปเป็นขี้ข้ามึงอีก"

เข้าสุภาษิตไทยที่ว่า "ขี้แพชวนตี" อีกนั่นแหล่ะ


เราภูมิใจกับเรื่องในอดีตมากเกินไปจนไม่สนใจที่จะเดินตามโลกปัจจุบันมากกันไปแล้วมั้ง ทุกวันนี้เรากล่อมตัวเองว่า "ชาติเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง แต่ประเทศอื่นๆใน AEC เป็นขี้ข้าฝรั่งทั้งนั้น"

ผมก็ภูมิใจในเรื่องนี้.. ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะนะ แต่ตอนนี้ผมไม่ล่ะ ผมเพิ่งเห็นข้อดีว่าถ้าฝรั่งเข้ามายึดบ้านเราอย่างน้อยคนไทยเกิน 50% ก็สามารถสื่อสารกับคนทั่วโลกได้

คนไทยทักษะภาษาอังกฤษต่ำกว่าทุกประเทศใน AEC 


พอบอกว่าคนไทยมีปัญหาภาษาอังกฤษ แทนที่จะมานั่งคิดว่าทำยังไงเพื่อให้ดีขึ้น กลับมีแต่พวกนักวิชาเกิน ออกมาพูดถึงแต่เรื่องทำนองว่า "ระบบมันไม่ดี มันพลาดตั้งแต่บริหารแล้ว.."

แทนที่จะมานั่งคิดว่าจะแก้ปัญหายังไง.. แต่พวกนี้มักชอบสาวไส้ในอดีตออกมาประจานกัน แล้วสุดท้ายก็ทะเลาะกัน!

เข้าคำที่เคยบอกว่า "คนทำแล้วโดนด่า กับ คนไม่ทำห่าอะไรแล้วด่าคนอื่น"


อีกอย่างที่จะบอกคือ.. คนไทยถ้าให้คนไทยมาพูดในสิ่งไม่ดีเกี่ยวกับประเทศตัวเอง คนนั้นมักจะถูกตราหน้าว่า "ไม่รักชาติ"     

แต่ผมมองว่า "เพราะเขารักนั่นแหล่ะ ถึงออกมาเตือน" ถ้าเขาไม่รัก ป่านนี้เขาไม่พูดหรอกปล่อยให้ชาติมันล่มจมไปเลยดีกว่า

ถ้าดูดีๆ เทียบกันกับประเทศอื่นๆ

ช่วงกลางศตวรรษที่ 17  >> ยุโรปเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม -- คนไทยกำลังกู้กรุงศรีจากพม่า
ช่วงศตวรรษที่ 18  >> ยุโรปเริ่มล่าอาณานิคม -- คนไทยกำลังเลิกทาส

เลิกคิดซักทีเถอะครับว่าเรากำลังพัฒนา ตอนนี้เราเป็นประเทศด้อยพัฒนามากกว่า ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา เพราะมีในหลวงที่ท่านทรงงานหนัก บ้านเราจึงพัฒนามาได้อย่างทุกวันนี้ ตอนนี้เป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะต้องพัฒนาต่อยอดจากพระองค์ท่าน..

"ท่านวางรากฐานการพัฒนาให้เราแล้ว เหลือแต่พวกเรานี่ล่ะ จะต้องต่อยอดต่อไป


ถ้าอยากสู้กับต่างชาติได้.. ยังไม่ต้องมองไปถึงเกาหลีใต้หรือจีนหรืออเมริกาหรือญี่ปุ่น

เอาแค่ประเทศใน AEC ก่อน.. ถ้าเราพัฒนาให้ทัดเทียมกับเวียดนามและสิงค์โปรได้.. ก็ยังพอมีหวังบ้างสำหรับชาติไทยเรา

BioMan@KKU

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คุยกันหลังรับน้อง

เสาร์ที่ผ่านมา (4 Aug 2012) รับน้องภาคชีวฯ ผ่านไปแล้วครับ บอกตรงๆว่าผมและเพื่อนระบมไปทั้งตัว เล่นกันหนักมากก ทุ่มสุดตัวจริงๆ 555+  ผมชื่นชมน้องปี 3 นะครับว่าจัดงานได้ดีมาก ดีกว่าทุกๆปีที่ผ่านมาเลย ถึงแม้คนเข้าร่วมกิจกรรมจะน้อยไปหน่อยก็เถอะ อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงหยุดยาว 4 วันก็ได้มั้งครับเลยทำให้ไม่ค่อยอยู่กัน

ถึงผมจะพยายามเข้าใจว่ามันช่วงหยุดยาวก็เถอะนะ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมไม่อยู่กัน น้องปี 1 รุ่นนี้ (รุ่น 40) ก็รับน้องได้ครั้งเดียว แต่เข้าพรรษาก็ยังมีอีกหลายปี หลายคนอยู่ม. ก็ไปทำบุญแถวๆนี้ได้ จำกัดว่าหยุดยาวแล้วต้องกลับบ้านกันเลยว่างั้นสินะ..

ผมอาจจะไม่เข้าใจคนที่ไม่เข้าร่วมงานหรอก มันก็เหตุผลส่วนตัวของเขาด้วยน่ะเนาะ อย่างน้อยก็เห็นได้ล่ะว่าใครบ้างที่จะพร้อมทำเพื่อส่วนรวม "ถ้าคนที่อยากเข้าร่วมกิจกรรมจริงๆน่ะ ต่อให้หยุดยาวสัก 5 วันยังไงเขาก็อยู่แน่นอน"


ผมบอกตรงๆนะ น้องที่ไม่เข้ากิจกรรมผมไม่โกรธหรอก แต่ผมโกรธเพื่อนผมมากกว่า ปี 4 มารับน้องแค่ 14 คน ผมบอกตรงๆว่าซึ้งใจกับเพื่อนผม 14 คนนี้มาก (ปันยา,บอม,ต้อม,ตั้ม,อ๊อฟ,ไอซ์,หมิว,แนน,แคท,แตงโม,นุ่น,เตชิน,พี่ไปป์,ออย) ที่อย่างน้อยก็ยังอยู่ด้วยกัน ออยกลับบ้านวันพฤหัสยังรีบกลับมาวันเสาร์เพื่อมาร่วมงาน ผมพยายามจะเข้าใจนะว่าเพื่อนอยากกลับบ้าน แต่ละคนก็มีธุระส่วนตัวกัน แต่ทำไมผมยังรู้สึกโกรธอยู่ บอกตรงๆว่า "ผมไม่อยากทำอะไรแล้ว เรื่องสอบ เรื่องติดต่ออาจารย์ ผมอยากปล่อยมัน ให้อาจารย์มาด่าเองเลยว่าทำไมไม่นัดวันสอบกัน ผมไม่อยากทำอะไร หรือบอกตรงๆ ผมโกรธเพื่อนมาก ที่ไม่มาช่วยงานกันมากกว่านี้!"  


ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าต่อไปนี้ผมไม่อยากพูดกับใคร ภาพที่ผมเห็นวันรับน้องคือน้องปี 1,2,3 ร่วมใจกันเชียร์เพื่อนตัวเองแข่งกีฬา, มีตัวช่วยเยอะมากในการเล่นกีฬาแต่ละอย่าง แต่พี่ปี 4 กลับมีกันอยู่แค่นี้ มันเลยทำให้ทั้ง 14 คนต้องเหนื่อยและเจ็บตัวมากกว่าที่จำเป็น


ใครจะมองยังไงผมไม่รู้นะ แต่ผมบอกตรงๆอีกครั้งว่าไม่พอใจมากกับเพื่่อนของตัวเองในตอนนี้



ผมอาจจะตั้งทิฐิของผมมากไปแล้วก็ได้มั้งครับ เลยมองเพื่อนในแง่ร้ายแบบนั้น แต่ผมจะหายเอง เพราะตอนนี้ความโกรธมันอยู่ในใจมากกว่า จนคิดเรื่องในแง่ดีไม่ค่อยออก รู้ตัวเองครับเป็นยังงี้สัก 2-3 วันก็หายเองล่ะครับ

วันนี้เลยไปปล่อยผีกับเพื่อนซี้ 2 คนคือ ยอด กับ ออย ขาดนู๋อาร์มไป (โดนยอดเหน็บตลอดไปแล้วว่ามันติดเมีย 555+) ประเดิมด้วยการดูหนังที่ EGV ครับ "รัก 7 ปีดี 7 หน"


บอกตรงๆนะครับ ผมไม่ค่อยชอบดูหนังรักเท่าไร ไม่ว่าจะมาจากค่ายไหนก็ตาม อีกประเภทคือหนังผี เพราะรู้สึกว่าดูไปไม่คุ้มตังค์เท่าไรครับ แต่เรื่องนี้ผมดูเพราะเหตุผลเดียวจริงๆครับคือ "นิชคุณ" 55+


ถามว่าทำไม??  ผมชอบนิชคุณครับ คนๆนี้เป็น idol ของผมจริงๆ เป็นดาราคนเดียวที่ผมยกให้เป็น idol ในใจ ผมชอบความพยายามของพี่เขา (ขอเรียกว่าพี่คุณนะครับ) ที่ไม่เคยมีพื้นฐานด้านการเต้นหรือร้องเพลงเลย แต่สามารถไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นนักร้องแนวหน้าระดับเอเชียได้ และอีกอย่างที่ผมชอบคือการเป็นคนนอบน้อมถ่อมตัวและภูมิใจในความเป็นคนไทย ทำให้คนจำนวนมากมายรักพี่เค้าได้อย่างง่ายดาย และจากโฆษณาแบรนด์ที่พี่เขาโฆษณา ผมชอบคำพูดประโยคหนึ่งของพี่คุณคือ "Don't stop your creativity" หรือ "อย่าหยุดคิดอย่างสร้างสรรค์" เป็นแรงบันดาลใจให้ผมตั้งใจเรียนและไม่หยุดที่จะหาความรู้ใส่ตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

พูดถึงพี่คุณซะเยอะะ ขอพูดถึงหนังรัก 7 ปีบ้างนะครับ ขอบอกตรงๆว่า GTH ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆครับ ตอนแรกผมตั้งใจแต่จะไปดูพี่คุณ แต่อีก 2 เรื่องบอกตรงๆเลยว่าน่าสนใจไม่แพ้กันจริงๆกับ มันตรงกับชีวิตจริงและสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราในเรื่องแรก เรื่องที่สองผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร อาจจะเพราะยังไม่ถึงวัยที่วุฒิภาวะจะเข้าใจเรื่องแบบนั้นได้ แต่บอกตรงๆว่าสนุกมากจริงๆครับ เรื่องที่สาม บอกตรงๆว่าผมไม่สนใจรายละเอียดอื่นๆนอกจากพี่คุณ 5555++


จบจากดูหนังต่อด้วยคาราโอเกะครับ หลัง ม. 2 ชั่วโมงแห่งการแหกปาก ทำให้หายเหนื่อยไปเลยแต่แลกมากับเสียงที่แหบไปชั่วคราว 5555++

ผมถือว่าใช้วันหยุดในการพักผ่อนได้คุ้มค่าล่ะครับใน 4 วันที่ผ่านมา และพร้อมที่จะกลับไปเรียนในวันพรุ่งนี้ล่ะ อาจจะเจอเรื่องหนักๆ อีกมากมายแต่ผมก็สู้ตายครับ ^u^


BioMan@KKU