วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สภาวะรู้สึกสิ้นหวัง

ถ้าคุณเคยอ่าน Harry Potter หรือ ดูภาพยนต์ก็ได้

คุณน่าจะรู้จัก "ผู้คุมวิญญาณ"


เป็นสิ่งมีชีวิตที่สกปรก และคอยดูดกลืนความสิ้นหวังจากพ่อมดแม่มด รวมไปถึงคนธรรมดาอย่างเราด้วย ยิ่งเราปลดปล่อยความทรงจำที่เลวร้ายออกมามากเท่าไร ผู้คุมวิญญาณก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น และผู้คุมวิญญาณจะทำให้คนที่อยู่ใกล้พวกมันปล่อยความทรงจำที่รู้สึกเลวร้ายที่สุด


ถ้าในความเป็นจริง..


ผมคิดว่ามันคือช่วงเวลาที่เรารู้สึกสิ้นหวัง หรือ เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์และความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตของเรา


เจ.เค.โรวลิ่ง ผู้แต่ง harry potter เองก็เคยบอกว่า ผู้คุมวิญญาณ เธอได้แนวคิดมาจากเมื่อตอนที่เธอต้องสูญเสียคุณแม่ไป มันเป็นสภาวะที่ความสิ้นหวังและความเสียใจจู่โจมเข้าหาเรา ทำให้เราอ่อนแรง หมดกำลังใจ และเหมือนความสุขกำลังออกไปจากตัวเรา


คุณจะทำยังไง..


เจ.เค. บอกว่าช็อกโกแลตช่วยได้  ช็อกโกแลตมีสารชนิดหนึ่งที่จะช่วยให้ร่างกายเราหลั่งอดรีนะลิน หรือ สารแห่งความสุขออกมา



นั่นล่ะ


ตอนนี้ผมอยากได้ช็อกโกแลตจังเลย T _T

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Pheromone

คุณรู้จักฟีโรโมน (pheromone) ไหม

ในทางชีววิทยามันคือสารที่สัตว์จำพวกแมลงหลั่งออกมา เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม


แต่ในคน.. เราเรียกมันว่า "กลิ่นตัว"


แต่ละคนจะมีกลิ่นตัวที่แตกต่างกันไป กลิ่นตัวเกิดจากการผสมกันระหว่างเหงื่อไคลจากตัวเรา น้ำหอมหรือโรลออนที่เราใช้ และ รวมไปถึงกลิ่นจากน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือสเปรย์รีดผ้าอีกด้วย


และกลิ่นตัวของแต่ละคน จะตอบสนองกับคนรอบข้าง แต่ไม่ใช่ทุกคน..


เราไม่มีทางรู้หรอกว่ากลิ่นตัวของเราจะตอบสนองกับใครบ้าง แต่ถ้าในอีกมุมที่กลับกัน ถ้าเป็นคนที่เราชอบ คนๆนั้นจะมีกลิ่นที่ทำให้เรารู้สึกดี หรือ มีความสุขเมื่อเราได้อยู่ใกล้ชิดกัน


ถ้าเทียบกับในเรื่อง Harry Potter มันก็เหมือนเราได้กลิ่นของยาเส่นห์ ซึ่งยาชนิดนี้จะให้กลิ่นเฉพาะตัวที่เราชอบ


สำหรับผมตอนนี้.. เมื่่่อเวลาที่ได้อยู่ใกล้น้องเขา กลิ่นที่ผมสัมผัสได้คือ กลิ่นวานิลลาหรือไม่ก็กลิ่นนมปั่น

เป็นกลิ่นวานิลลาที่ผมไม่เคยได้กินจากไอศกรีม หรือ นมปั่นทื่ไม่เคยมีร้านขายนมร้านไหนทำให้ผมกินได้ -- ลองมาแล้วครับ ไม่มีจริงๆ 5555+

ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับน้องเหมือนจะก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของน้องเริ่มเปิดรับผมเข้าไปบ้างแล้ว.. ถามว่าผมดีใจไหม..

ดีใจสิ!! มากๆๆๆ ด้วย ^__^



ตอนนี้ผมไม่สนล่ะว่าระหว่างเราสองคนคืออะไร แค่นี้ผมก็มีความสุขมากๆแล้วครับ

ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน..
ไม่อาจหาคำๆไหน เพื่ออธิบาย...
ไม่ต้องรักเหมือนคนรักก็สุขหัวใจ...
เพียงแค่เราเข้าใจ.. ก็เหนือคำอื่นใดในโลกนี้...


ขอใช้เวลาที่เหลืออยู่ ตอบแทนความรักที่เธอมอบให้อย่างดีที่สุด...






วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีปี 4 เทอม 2 เทอมสุดท้ายของป.ตรี

สวัสดีครับ.. ห่างหายไปเกือบเดือนเลยทีเดียว ที่ผ่านมา  1 เดือน มีหลายเรื่องเกิดขึ้นมากมายเชียวครับ อยากเล่าให้ฟัง อาจจะเป็นบล็อกที่ยาวๆๆ ซึ่งนานๆ ทีไม่ค่อยเขียนเท่าไร


เรื่องแรก.. Project ของผม

หลังจากผลัดไปผลัดมาจนหมดภาคเรียนที่ 1 ผมก็ได้เริ่มเลี้ยงปลาซะที เริ่มในวันที่ 9 ตุลา หลังจากปิดเทอมไป 4-5 วัน ประกอบกับช่วงนั้นเป็นค่ายโอลิมปิกวิชาการด้วย อ.ละเอียด ที่ปรึกษาโปรเจคผม กำลังมีปัญหาคือไม่มีเด็กไปช่วยทำค่าย ผมเลยว่า ไหนๆก็อยู่ ม. เพื่อทำโปรเจคแล้วก็ทำค่ายช่วยอาจารย์ไปด้วยละกัน ได้วันละ 120 แน่ะ ผมฟาดไป 6 วันก็ 120 x 6 = 720 บาท อิอิ

พอได้เริ่มเลี้ยงปลาผมถึงรู้ว่าการทำวิจัยมันไม่ใช่อะไรง่ายๆจริงๆนะคุณ ถึงแม้จะรู้ว่าควรเริ่มทำให้เร็วกว่านี้ แต่มันก็มักจะมีอะไรหลายๆ อย่างมาทำให้ต้องสะดุดตลอด เลยไม่ได้เริ่มทำสักที และจากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะวัดฮอร์โมนของปลาร่วมกับการทำ histo ดูเนื้อเยื่อทางเดินอาหารด้วย ก็เลยตัดว้ดฮอร์โมนไปเอาแค่ดู histo ก็พอล่ะครับ

จนถึงวันนี้ ก็ถือว่าก้าวหน้าไปได้พอสมควรครับ.. แต่ปัญหาคือเครื่อง Automatic Tissue Processor เครื่องละ 3 แสนบาท มันดันเจ๊งเมื่อเทอมที่แล้วซะนี่.. ผมเลยเริ่มคิดหนักแล้วว่าจะทำยังไงดีน้ออ จิงๆ ทำมือก็ได้ครับ แต่มันต้องละเอียดอ่อนและตั้งใจมากพอสมควรเลยทีเดียว

การทำวิจัยมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมายครับ เพียงแต่เราต้องค่อยๆ แก้ไปเรื่อยๆ ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าในภายภาคหน้า จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาให้ผมต้องแก้อีกเหมือนกัน


เรื่องที่สอง.. ค่ายโอลิมปิกวิชาการ

ผมได้มีโอกาสคุมค่ายโอลิมปิกในช่วงปิดเทอม 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มันทำให้ผมเริ่มทบทวนตัวเองเกี่ยวกับความรู้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาว่า  ผมเก็บอะไรไปได้บ้าง เพราะเรื่องที่น้องๆโอลิมปิกเรียนมันก็เป็นเรื่องที่ผมเรียนมาแล้วทั้งนั้น แต่ทำไมผมถึงตอบคำถามน้องไม่ได้เคลียร์สักที จนบางทีน้องอาจจะรุ้สึกว่าผมไม่แน่จริงก็ได้มั้งครับ = =''

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้คือ ผมรู้ตัวเองล่ะว่า ความรู้ที่ผมมียังอ่อนมากครับ ผมจึงเริ่มใช้เวลาที่ว่างนี้ หยิบตำราเรียน ชีทเรียน สมุดโน้ต Invertebrate ที่ทิ้งมันไปตั้งแต่ตอนปี 2 ผมก็ยังปัดฝุ่นมันขึ้นมาอ่าน Vertebrate ที่ผมมั่นใจว่าเป๊ะนักหนา ผมยังต้องทบทวนใหม่อีกครั้ง Animal Physiology ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อตอนต้นปี ก็เป็นสิ่งที่ผมต้องหยิบขึ้นมาทวนเช่นกัน

ในค่ายนี้ผมได้รู้จักน้อง 2 คนที่ผมแอบชอบอยู่ ไม่รู้สิ ผมชอบน้องเค้าอ่ะ น่ารักดี >_<




คนทางซ้ายคือน้องเจมส์ สาธิต มข. ครับ เด็กคนนี้คุยเก่งและขี้เล่น เป็นคนที่ซักผมจนหลายๆ ทีผมตอบไม่ได้เหมือนกัน.. น้องทำให้ผมรู้ว่าความรู้ผมมันปูๆปลาๆสิ้นดี เลยต้องกลับมาทบทวนตัวเอง

คนทางขวาคือ น้องเบนซ์ เด็กขอนแก่นวิทยายน ครับ วันแรกที่เห็นเจ้าเบนซ์คือไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร เพราะมันแต่งตัวไม่เรียบร้อย ใส่แตะมาเรียนอีก เจาะหูอีกตะหาก First impression ไม่ปลื้มอย่างแรง 55+ แต่พอผ่านไปก็รู้ว่า เออ.. มันก็น่ารักดีนะ

ไม่รุ้สิ ถ้าเทียบกับเจ้าเจมส์แล้ว ผมชอบเจ้าเจมส์มากกว่า แต่ที่ 2 คนนี้มีเหมือนกันคือมันก็กวนได้ใจ ผมชอบเล่นกับ 2 คนนี้ล่ะ คิคิ ^_^

ผมก็ว่าไปงั้นแหล่ะ 555+ >> คือผมไม่ได้คิดอะไรไปแบบที่ว่าจะต้องเอาน้องมาเป็นแฟนหรอกครับ ความรู้สึกผมแค่ปลื้มน้องทั้ง 2 คนเท่านั้นล่ะ (ก็น้องมันน่ารักดีอ่ะ.. ^o^)



เรื่องที่สาม... การมาเยือนของพี่ junior ที่ผมรัก


พี่ท้อปนั่นแหล่ะครับ.. เจ๊ใหญ่ของน้องๆ คิคิ  พี่ท้อปเป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพและรักมากที่สุดคนนึง ถึงแม้ว่าบางทีผมจะไม่สบอารมณ์กับพี่แกบ้างก็ตามเถอะครับ แต่อย่างนึงที่ผมชอบคือ พี่ท้อปจริงใจและไม่เสแสร้ง เป็นคนพูดอะไรตรงๆ แต่บางทีพี่แกก็ตรงเกินไป จนผมรับไม่ได้เหมือนกัน หุหุ

ส่วนนี้คือการระบายอารมณ์

พี่ท้อปถามถึง project ของผมเหมือนกัน ผมก็เล่าให้ฟังเพื่อว่าพี่ท้อปจะมีแนวทางให้ผม แต่ไปๆมาๆกลับกลายเป็นว่าจะเปลี่ยน project ผมซะยังงั้น ผมเลยรู้สึกว่าบางทีมันก็มากไปน่ะครับ และผมเองก็เป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาบงการความคิดของตัวเองเท่าไร.. ผมเลยจะรับคำแนะนำบางส่วนจากพี่เขามาปรับใช้ แต่อะไรที่ผมไม่เห็นด้วย ก็จะไม่เอามาใช้ล่ะครับ

อีกอย่างคือ.. เรื่องวงในของภาคผม คือ.. ส่วนตัวผมนะ ผมเองก็รู้มาบ้างล่ะว่าในภาคผมเป็นยังไงและเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ผมเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไร ดีกว่าพูดไปให้ร้อนใจและเดือดร้อนตัวเองซะเปล่าๆ แต่พี่ผมคนนี้สิ กลับเล่าออกมาได้.. คือผมไม่รู้หรอกว่าอะไรนะ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเข้าใจผิดก็ตาม แต่ผมคิดว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ แล้วอาจารย์หลายๆท่านที่พี่เขาพาดพิงก็เป็นอาจารย์ที่ผมเคารพรักด้วย.. ผมเลยไม่ค่อยชอบใจเท่าไร ถ้าจะได้ฟังเรื่องนี้

สำหรับผมแล้ว เรื่องในภาคจะเป็นยังไง ตอนนี้ผมไม่สนหรอก เพราะผมไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจอยู่แล้ว.. .ใครจะอยู่หรือใครจะไป ผมไม่สน ถ้าผมได้กลับมาทำงานที่นี่อีกครั้งก็ว่าไปอย่าง.. แต่เรื่องที่ผมรู้มามันก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีเหมือนกันถ้าจะต้องกลับมาทำงานที่นี่น่ะครับ

สำหรับผม.. ความถูกต้องอาจใช่ไม่ได้ในทุกการทำงาน บางทีอะไรที่ไม่ถูกเราก็ต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้น เพราะคนที่มีอำนาจเท่านั้น ที่จะทำให้ถูกเป็นผิดหรือผิดเป็นถูกได้




เรื่องที่สี่.. น้องคนนั้น คนที่ผมรัก

ตลอด 2 สัปดาห์ที่ปิดเทอม มีหลายช่วงเหมือนกัน อาจบอกได้ว่าตลอดเวลานั่นแหล่ะ ที่ผมคิดจะยุติความคิดของผมที่มีต่อน้องไว้แค่พี่-น้องกัน แต่จนกระทั่งวันนี้ เปิดเทอมวันแรก ผมได้มาเจอน้องอีกครั้งและเราไปกินข้าวด้วยกัน (หลังจากตัดสินใจโยนหัว-ก้อย อยู่นาน ฮ่าๆ) มันทำให้ความรู้สึกของผมกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจผมกันแน่.. หรือว่าที่เป็นอยู่นี่มันก็ดีอยู่แล้ว งั้นเหรอ???

ผมอยากบอกน้องไปสักทีว่าผมรักเค้า.. ผมไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ที่อยากได้คือ คนที่เข้าใจกัน คนที่สามารถเล่าอะไรให้ฟังได้ทุกเรื่อง โดยที่เรื่องนั้นจะไม่ไหลออกไปหาใคร และที่อยากได้คือ คนที่จดจำเรื่องราวของผมได้บ้าง

ผมพยายามจะลืมน้องไปหลายครั้งเหมือนกัน แต่ผมก็พบแล้วว่า.. ผมทำไม่ได้เลยครับ T^T



เฮ้ออ ที่อยากระบายก็มีแค่นี้ล่ะครับ.. พรุ่งนี้วันหยุดปิยมหาราช อาจารย์บีชวนไปทำบุญวันพรุ่งนี้ด้วยสิ จะไปให้ได้ครับ ถ้าไม่ติดอะไรจริงๆ ไม่ได้เข้าวัด ปฏิบัติธรรมมานานล่ะ เผื่อว่าจิตใจจะเลิกฟุ่งซ่านบ้าง ^_^


BioMan @ KKU 





วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

Final examination Festival


สวัสดีครับ..

กำลังเข้าสู่ช่วงสอบปลายภาคแล้วล่ะครับ สัปดาห์นี้ก็คือสัปดาห์สุดท้ายของภาคการศึกษานี้แล้วสิ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ... เร็วมาก จนน่าใจหายเลยล่ะ

project ผมก็ยังไม่ได้เริ่มสักที จนบัดนี้ เฮ้อน้ออ... T__T  ยังไงวันพุธนี้ก็ต้องเริ่มล่ะครับ ถ้ายังช้าอยู่อีกล่ะก็ มีหวังได้ปิดแลปเดือน มกราจริงๆด้วยสิ  

วันนี้เพิ่งสอบวิชาวิวัฒนาการมาครับ ไม่ได้รู้สึกดีเพราะการทำข้อสอบแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณเข้าใจไหม.. ความรู้สึกของการทำข้อสอบได้ 555+

เสาร์นี้ก็สอบครับวิขา Cell & Molecular Biology รู้ตัวดีว่าข้อสอบยากแน่ๆ เพราะ อ.วัฒนา ท่านออกข้อสอบประยุกต์อยู่แล้วล่ะ T____T


ปีนี้คงเป็นปีที่ชีวิตผมวุ่นวายน่าดูเลยล่ะ ไหนจะเรื่อง project เรื่องเรียนต่อโทอีก.. บางทีผมก็ยังรู้สึกเลยนะว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะโตเป็นผุ้ใหญ่จริงๆกับเขาสักทีก็ไม่รู้


เฮ้อ...

สู้ตายครับ ^^

BioMan@KKU

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Love Story






หลายคนมีนิยามความรักเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน.. มันจะเปลี่ยนไปตามวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้นตามอายุของเรา.. ผมเองก็เช่นกัน

รักแรกของผมเกิดตอนป. 6 ความรักแบบเด็กๆ ผมว่าคงมีหลายคนล่ะที่เคยมี แต่เราไม่เคยจำรายละเอียดของมันได้หรอกครับ ก็เด็กนี่นา ไม่ประสีประสาอะไรหรอก แต่ความคิดมีอย่างเดียวสำหรับความรักตอนนั้นคือ "ทำยังไงที่จะให้เราอยู่ในสายตาของเธอคนนั้น"

ตอนนั้นผมยังชอบผู้หญิงอยู่ครับ.. รักแรกของผมเป็นผู้หญิงครับ จริงๆอย่าบอกว่ารักแรกดีกว่า รักเขาข้างเดียวมากกว่าครับ



ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นตอนม.6 เว้นไปเกือบ 6 ปีแน่ะครับ ไม่ต้องถามว่าทำไม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คราวนี้เกิดกับผู้ชายครับ.. ใช่ครับผมเป็นเกย์ ไม่รู้หรอกว่าเป็นได้ไง ไม่ต้องถามสาเหตุครับ ถ้าทราบป่านนี้คงมียารักษาไปนานแล้ว 555+

ผมจริงจังกับรักครั้งที่ 2 ครับ จริงจังมากจนมันหลุดจากไป  ผมได้เรียนรู้อย่างนึงว่ารักไม่ใช่การครอบครองหรือดื้อรั้นที่จะเอา แต่มันคือการยอมรับความจริงที่อาจทำให้เราต้องเจ็บปวด.. ทุกวันนี้คนที่ผมเคยรัก เขาเป็นน้องชายที่ผมรักที่สุด เราคุยกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องอะไร



ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นตอนปี 1 คนที่ผมชอบเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม เขาเรียน MED ครับ แต่ว่าเราไม่เคยที่จะมีเวลาให้กัน มันเลยทำให้ห่างไปโดยไม่รู้ตัว ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยได้เจอเขาแล้วครับ จะเจอบ้างก็งานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนแค่นั้นแหล่ะครับ



ครั้งที่ 4 เกิดขึ้นตอนปี 2 ผมทำกิจกรรมอย่างหนึ่งให้คณะ และผมเกิดชอบกับน้องปี 1 คนนึง (ตอนนี้น้องเขาอยู่ปี 3 แล้วครับ) แต่คราวนี้ผมให้มันเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่บุ่มบ่ามหรือรีบร้อนเหมือนครั้งก่อนๆที่ผ่านมา เราไปเที่ยวกัน กินข้าวกัน ดูหนังด้วยกันบ่อยมาก จนเพื่อนผมเองก็เริ่มแซว แต่ผมไม่ค่อยแคร์อะไร เพราะถ้าอะไรผมทำแล้ว happy ผมจะทำและอีกอย่างมันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม

ผมตัดสินใจบอกชอบน้องเขาไปในเดือนมกราคม (เรารู้จักกันตอนเดือนพฤศจิกายนครับ) แต่ก็ไม่มีคำตอบจากน้องเขาว่า "yes" หรือ "no" ผมรอคำตอบอยู่ 1 เดือน ผมจึงตัดสินใจยุติความสัมพันธ์มันไว้แค่นั้น ผมไม่รู้หรอกว่าน้องเขาจะคิดยังไง เพราะผมเดินออกมาจากตรงนั้นเลย เหมือนปิดประตูไม่ขอรับรู้อะไรอีก ผมอาจดูเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่ว่าผมไม่อยากคิดมากอีกในตอนนั้น จึงจบมันลงซะ



และ
ครั้งที่ 5.. ซึ่งยังคงเป็น present continues tense

มันเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ.. อาจเรียกว่า "รักที่เกิดจากความใกล้ชิด" ก็ได้มั้งครับ (นึกถึงเพลงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ ของ ETC เข้าไว้ครับ 555+ =_='')

อยากบอกว่าเป็นแบบนั้นจริงๆครับ ผมไม่รู้ตัวว่าผมรักน้องเขาไปตั้งแต่เมื่อไร อ้อ..ลืมบอกว่าคนนี้เป็นรุ่นน้องผมครับ เรียน major เดียวกัน น้องปี 3 ครับ :P

เราสนิทกันครั้งแรกตอนออกค่ายของภาควิชาครับ ตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ปี 2 ช่วงเดือนมีนาคม พอจบค่ายก็ไม่ค่อยได้คุยกัน.. ผมรู้แต่ว่าน้องเขาชอบเคโรโระเหมือนกันผม เราเริ่มคุยกันจริงๆก็ช่วงมิถุนา-กรกฎาครับ ไปดูหนังด้วยกัน กินข้าวด้วยกันบ่อยขึ้น ยอมรับว่าช่วงดังกล่าวผมเริ่มรู้สึกแปลกๆกับน้องขึ้นในใจแล้วแต่ผมยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง... ณ ตอนนั้น!

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น..


"I hug you in my arm, lied you down on your bed and we talked about our life. I see your eye, my body is lied on your body and i feel your heartbeat that in your chest. "


จากวันนั้น.. ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าหัวใจผมกำลังมีความรักอีกครั้ง

แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน...  "เราทะเลาะกันครับ"

อาจเพราะผมเข้าไปคุยไม่ถูกช่วง.. ช่วงนั้นใกล้สอบปลายภาคแล้วเหมือนน้องจะเครียดอยู่ ผมเลยโดนระเบิดอารมณ์ซะชุดใหญ่ >> ตอนนั้นเสียใจครับ ร้องไห้ไปหลายวันเลยล่ะ.. แต่สุดท้ายก็ค่อยกลับมานั่งคิดทบทวนใหม่ ผมเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรครับ เพราะหลายครั้งผมเองก็เคยเป็นเวลาเครียดแล้วไม่อยากคุยกับใคร

จริงๆเกิดเรื่องคราวนี้ก็ดีเหมือนกัน.. มันทำให้ผมแน่ใจในความรู้สึกของผมล่ะตอนนี้

เรามึนใส่กันอยู่ 3 เดือนครับ.. ช่วง 3 เดือนก็คุยกันอยู่ครับ แต่ประหยัดคำพูดมาก จนหลายครั้งผมเริ่มคิดที่จะตัดใจ.. แต่สุดท้ายเราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมครับ..

และมีหลายครั้งที่ผมต้องโดนน้องระเบิดอารมณ์ใส่.. แต่ผมพยายามนับ 1-10 ในใจแล้วไม่เก็บมาคิดมาก จนตอนนี้ชินแล้วครับ เข้าใจล่ะว่าน้องเป็นคนแบบเนี้ยย (นิยามที่ผมมีให้นะครับ "ปากดีเป็นหนึ่ง ขี้แยโครตๆ แต่ความคิดก็เป็นผู้ใหญ่ใช่ได้")

จนถึงตอนนี้ก็ 1 ปีแล้วครับที่ได้คุยและรู้จักกัน หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่รุ่นพี่จะคุยกับรุ่นน้อง แต่ผมขอบอกตรงๆนะครับ ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วผมไม่เคยเปิดใจหรือคุยกับใครง่ายๆ รุ่นน้องก็สนิทกับผมหลายคน แต่คนนี้ไม่ใช่ครับ "คนนี้เป็นคนแรกและคนเดียวที่ผมคุยด้วยอย่างเปิดเผย ทั้งเรื่องส่วนตัวจนไปถึงเรื่องความชอบส่วนตัว" และบอกตรงๆว่า ผมไม่เคยสนใจใครเป็นปีๆขนาดนี้ครับ

ถามว่าได้บอกว่า "รักหรือชอบ" ไปรึยังน่ะเหรอ... บอกตรงๆว่า "ยัง" ครับ


ผมก็ไม่รู้ว่าผมรออะไรน่ะครับ เพราะว่าผมจริงจังกับสองคำนี้มาก ถ้าพูดออกไปแล้วผมจะมีอาการที่แสดงออกมาประมานว่า "แสดงความเป็นเจ้าของ" อย่างเต็มที่ ผมกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วผมคนนั้นจะแสดงออกมา ทำให้น้องเบื่อและหน่ายผมไปเลยก็ได้ อีกอย่างคือ ถ้าบอกไปแล้วน้อง ''No" ขึ้นมา ผมคงทำใจไม่ได้แน่นอนครับ ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะบอก ผมกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในชีวิตอยู่ เพราะจะต้องหาที่เรียนต่อโทครับ

บางทีก็คิดว่าอยากจะบอกตอนจบปี 4 นี่ล่ะครับ.. ถ้าน้อง yes ผมจะถามต่อไปว่า "รอพี่ได้ไหม" และผมจะไม่มองหรือมีใครในช่วงเรียนโทจนจบเอก แต่ถ้าน้อง no ผมก็จะยุติเรื่องของเราไว้แค่นี้ เหลือไว้แค่คำว่า "พี่-น้อง" และผมคงจะไม่มีใครอีกแล้ว เพราะคนๆนี้ จะเป็นคนสุดท้ายจริงๆ ผมจะไม่มีใครอีกแล้ว ชีวิตที่เหลือผมจะมีให้กับงานของผมและครอบครัวของผมเท่านั้น


 ผมไม่อยากเป็นเกย์หรอครับ จริงๆนะ แต่มันเลือกไม่ได้จริงๆ ถ้าให้ผมไปแต่งงานและมีครอบครัวกับผู้หญิง ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ครับ.. สงสารผู้หญิงคนนั้นและลูกของผมที่จะเกิดมา ถ้ารู้ว่าพ่อเขาเป็นเกย์ เป็นคุณ คุณรับได้เหรอครับ

แม่ผมเองก็รู้เรื่องหมดแล้ว.. ถึงจะปิดยังไง พ่อกับแม่ก็รู้อยู่ดีแหล่ะครับ เขาเป็นพ่อ-แม่ เราคนที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิด แม่ผมบอกแค่ว่า "ยังงี้ไงแกต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าเดิม อย่าให้ใครมาดูถูกแกได้" บอกตรงๆนะครับ ตอนแรกก็ตกใจตอนแม่โทรมาหาแล้วบอกว่า "รู้หมดแล้วว่าแกน่ะเป็นอะไร" แต่พอผ่านวันนั้นมาแล้วผมโครตมีความสุขเลยนะคุณรู้ไหม ^__^


ถ้าถามว่ากับน้องคนนี้จะเป็นยังไงต่อไปนั้น.. ผมก็ยังไม่รู้ครับ  มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ผมไม่อยากคาดเดา ตอนนี้ผมคิดอย่างเดียวคือ "ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วอนาคตมันจะดีเอง"

BioMan @KKU


วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เก็บมาเล่าให้ฟัง..

คนไทยมักชอบบอกว่า  "เกาหลีชาตินิยม ดูถูกชาติอื่น"

เข้าข่ายสุภาษิต "ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา" ซะบ้างเถอะ ไทยเองก็ชาตินิยมพอกัน


อีก  3  ปี สมาคมอาเซียนจะรวมเป็นหนึ่ง 11 ประเทศในอาเซียนกำลังพัฒนาตัวเอง

ยกเว้น.. ไทย


ทุกวันนี้ผู้นำเรายังหลอกประชาชนให้หลอกตัวเองไปวันๆว่า "ไทยเราเป็นพี่ใหญ่แห่งอาเซียน" ยังไม่รู้จักยอมรับความจริงกันซะบ้าง

ถ้าเทียบกันในตอนนี้เราเป็นรอง เวียดนาม สิงค์โปร์ มาเลเซีย 

ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อีกไม่นานคงแซงหน้าเรา... ถ้าเรายังเป็นอยู่แบบนี้


ที่ตลกสุดเลยนะ.. วันก่อนผมเข้าไปอ่านกระทู้ใน pantip มีบาง comment บอกว่า "อาเซียนจะใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง เพราะเราเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญ"

ได้อ่าน comment นี้แล้วได้แต่คิดว่า... "กบในกะลา ยังมีอยู่จริงว่ะ"


เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ฟังเพลง "ตื่นเถิดชาวไทย.. อย่าหลับไหล.." แต่เชื่อล่ะว่าเป็นเพลงที่เปิดไว้เพื่อไม่ให้มันสูญหายไปตามกาลเวลาเท่านั้น คนฟังไม่ได้คิดอะไรหรอกกก..

บาง comment ก็มองโลกในแง่ดีมาก "AEC อยู่ได้ไม่เกิน 3 ปีหรอก เดี๋ยวก็ล่มไปเอง"
คือ.. จะไม่ทำอะไร รอให้มันล่มไปก่อนใช่ไหม??


ตอนแรกผมคิดว่าคนไทยตื่นตัวกับ AEC มาก แต่เพิ่งประจักษ์เมื่อเร็วๆนี้เองว่า บางคนยังหลับไหลอยู่ ไม่เดือดร้อนว่ามันคืออะไร


สงสัยต้องรอให้ประเทศใน AEC แห่เข้ามาทำงานในไทยก่อนล่ะมั้ง.. ถึงจะสำนึกได้ เพราะตอนนั้นเชื่อว่าคนไทยมากกว่า 70% แน่นอน จะเป็นได้แค่แรงงานให้นายทุนต่างชาติเท่านั้น

แต่ให้ผมเดานะ... ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไรจะเกิดกระแสต่อต้านต่างชาติอีก ด้วยเหตุผลว่า "นี่บ้านกู มึงเป็นใครมาหากินในบ้านกู แล้วยังเอาคนในบ้านกูไปเป็นขี้ข้ามึงอีก"

เข้าสุภาษิตไทยที่ว่า "ขี้แพชวนตี" อีกนั่นแหล่ะ


เราภูมิใจกับเรื่องในอดีตมากเกินไปจนไม่สนใจที่จะเดินตามโลกปัจจุบันมากกันไปแล้วมั้ง ทุกวันนี้เรากล่อมตัวเองว่า "ชาติเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง แต่ประเทศอื่นๆใน AEC เป็นขี้ข้าฝรั่งทั้งนั้น"

ผมก็ภูมิใจในเรื่องนี้.. ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะนะ แต่ตอนนี้ผมไม่ล่ะ ผมเพิ่งเห็นข้อดีว่าถ้าฝรั่งเข้ามายึดบ้านเราอย่างน้อยคนไทยเกิน 50% ก็สามารถสื่อสารกับคนทั่วโลกได้

คนไทยทักษะภาษาอังกฤษต่ำกว่าทุกประเทศใน AEC 


พอบอกว่าคนไทยมีปัญหาภาษาอังกฤษ แทนที่จะมานั่งคิดว่าทำยังไงเพื่อให้ดีขึ้น กลับมีแต่พวกนักวิชาเกิน ออกมาพูดถึงแต่เรื่องทำนองว่า "ระบบมันไม่ดี มันพลาดตั้งแต่บริหารแล้ว.."

แทนที่จะมานั่งคิดว่าจะแก้ปัญหายังไง.. แต่พวกนี้มักชอบสาวไส้ในอดีตออกมาประจานกัน แล้วสุดท้ายก็ทะเลาะกัน!

เข้าคำที่เคยบอกว่า "คนทำแล้วโดนด่า กับ คนไม่ทำห่าอะไรแล้วด่าคนอื่น"


อีกอย่างที่จะบอกคือ.. คนไทยถ้าให้คนไทยมาพูดในสิ่งไม่ดีเกี่ยวกับประเทศตัวเอง คนนั้นมักจะถูกตราหน้าว่า "ไม่รักชาติ"     

แต่ผมมองว่า "เพราะเขารักนั่นแหล่ะ ถึงออกมาเตือน" ถ้าเขาไม่รัก ป่านนี้เขาไม่พูดหรอกปล่อยให้ชาติมันล่มจมไปเลยดีกว่า

ถ้าดูดีๆ เทียบกันกับประเทศอื่นๆ

ช่วงกลางศตวรรษที่ 17  >> ยุโรปเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม -- คนไทยกำลังกู้กรุงศรีจากพม่า
ช่วงศตวรรษที่ 18  >> ยุโรปเริ่มล่าอาณานิคม -- คนไทยกำลังเลิกทาส

เลิกคิดซักทีเถอะครับว่าเรากำลังพัฒนา ตอนนี้เราเป็นประเทศด้อยพัฒนามากกว่า ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา เพราะมีในหลวงที่ท่านทรงงานหนัก บ้านเราจึงพัฒนามาได้อย่างทุกวันนี้ ตอนนี้เป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะต้องพัฒนาต่อยอดจากพระองค์ท่าน..

"ท่านวางรากฐานการพัฒนาให้เราแล้ว เหลือแต่พวกเรานี่ล่ะ จะต้องต่อยอดต่อไป


ถ้าอยากสู้กับต่างชาติได้.. ยังไม่ต้องมองไปถึงเกาหลีใต้หรือจีนหรืออเมริกาหรือญี่ปุ่น

เอาแค่ประเทศใน AEC ก่อน.. ถ้าเราพัฒนาให้ทัดเทียมกับเวียดนามและสิงค์โปรได้.. ก็ยังพอมีหวังบ้างสำหรับชาติไทยเรา

BioMan@KKU

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คุยกันหลังรับน้อง

เสาร์ที่ผ่านมา (4 Aug 2012) รับน้องภาคชีวฯ ผ่านไปแล้วครับ บอกตรงๆว่าผมและเพื่อนระบมไปทั้งตัว เล่นกันหนักมากก ทุ่มสุดตัวจริงๆ 555+  ผมชื่นชมน้องปี 3 นะครับว่าจัดงานได้ดีมาก ดีกว่าทุกๆปีที่ผ่านมาเลย ถึงแม้คนเข้าร่วมกิจกรรมจะน้อยไปหน่อยก็เถอะ อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงหยุดยาว 4 วันก็ได้มั้งครับเลยทำให้ไม่ค่อยอยู่กัน

ถึงผมจะพยายามเข้าใจว่ามันช่วงหยุดยาวก็เถอะนะ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมไม่อยู่กัน น้องปี 1 รุ่นนี้ (รุ่น 40) ก็รับน้องได้ครั้งเดียว แต่เข้าพรรษาก็ยังมีอีกหลายปี หลายคนอยู่ม. ก็ไปทำบุญแถวๆนี้ได้ จำกัดว่าหยุดยาวแล้วต้องกลับบ้านกันเลยว่างั้นสินะ..

ผมอาจจะไม่เข้าใจคนที่ไม่เข้าร่วมงานหรอก มันก็เหตุผลส่วนตัวของเขาด้วยน่ะเนาะ อย่างน้อยก็เห็นได้ล่ะว่าใครบ้างที่จะพร้อมทำเพื่อส่วนรวม "ถ้าคนที่อยากเข้าร่วมกิจกรรมจริงๆน่ะ ต่อให้หยุดยาวสัก 5 วันยังไงเขาก็อยู่แน่นอน"


ผมบอกตรงๆนะ น้องที่ไม่เข้ากิจกรรมผมไม่โกรธหรอก แต่ผมโกรธเพื่อนผมมากกว่า ปี 4 มารับน้องแค่ 14 คน ผมบอกตรงๆว่าซึ้งใจกับเพื่อนผม 14 คนนี้มาก (ปันยา,บอม,ต้อม,ตั้ม,อ๊อฟ,ไอซ์,หมิว,แนน,แคท,แตงโม,นุ่น,เตชิน,พี่ไปป์,ออย) ที่อย่างน้อยก็ยังอยู่ด้วยกัน ออยกลับบ้านวันพฤหัสยังรีบกลับมาวันเสาร์เพื่อมาร่วมงาน ผมพยายามจะเข้าใจนะว่าเพื่อนอยากกลับบ้าน แต่ละคนก็มีธุระส่วนตัวกัน แต่ทำไมผมยังรู้สึกโกรธอยู่ บอกตรงๆว่า "ผมไม่อยากทำอะไรแล้ว เรื่องสอบ เรื่องติดต่ออาจารย์ ผมอยากปล่อยมัน ให้อาจารย์มาด่าเองเลยว่าทำไมไม่นัดวันสอบกัน ผมไม่อยากทำอะไร หรือบอกตรงๆ ผมโกรธเพื่อนมาก ที่ไม่มาช่วยงานกันมากกว่านี้!"  


ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าต่อไปนี้ผมไม่อยากพูดกับใคร ภาพที่ผมเห็นวันรับน้องคือน้องปี 1,2,3 ร่วมใจกันเชียร์เพื่อนตัวเองแข่งกีฬา, มีตัวช่วยเยอะมากในการเล่นกีฬาแต่ละอย่าง แต่พี่ปี 4 กลับมีกันอยู่แค่นี้ มันเลยทำให้ทั้ง 14 คนต้องเหนื่อยและเจ็บตัวมากกว่าที่จำเป็น


ใครจะมองยังไงผมไม่รู้นะ แต่ผมบอกตรงๆอีกครั้งว่าไม่พอใจมากกับเพื่่อนของตัวเองในตอนนี้



ผมอาจจะตั้งทิฐิของผมมากไปแล้วก็ได้มั้งครับ เลยมองเพื่อนในแง่ร้ายแบบนั้น แต่ผมจะหายเอง เพราะตอนนี้ความโกรธมันอยู่ในใจมากกว่า จนคิดเรื่องในแง่ดีไม่ค่อยออก รู้ตัวเองครับเป็นยังงี้สัก 2-3 วันก็หายเองล่ะครับ

วันนี้เลยไปปล่อยผีกับเพื่อนซี้ 2 คนคือ ยอด กับ ออย ขาดนู๋อาร์มไป (โดนยอดเหน็บตลอดไปแล้วว่ามันติดเมีย 555+) ประเดิมด้วยการดูหนังที่ EGV ครับ "รัก 7 ปีดี 7 หน"


บอกตรงๆนะครับ ผมไม่ค่อยชอบดูหนังรักเท่าไร ไม่ว่าจะมาจากค่ายไหนก็ตาม อีกประเภทคือหนังผี เพราะรู้สึกว่าดูไปไม่คุ้มตังค์เท่าไรครับ แต่เรื่องนี้ผมดูเพราะเหตุผลเดียวจริงๆครับคือ "นิชคุณ" 55+


ถามว่าทำไม??  ผมชอบนิชคุณครับ คนๆนี้เป็น idol ของผมจริงๆ เป็นดาราคนเดียวที่ผมยกให้เป็น idol ในใจ ผมชอบความพยายามของพี่เขา (ขอเรียกว่าพี่คุณนะครับ) ที่ไม่เคยมีพื้นฐานด้านการเต้นหรือร้องเพลงเลย แต่สามารถไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นนักร้องแนวหน้าระดับเอเชียได้ และอีกอย่างที่ผมชอบคือการเป็นคนนอบน้อมถ่อมตัวและภูมิใจในความเป็นคนไทย ทำให้คนจำนวนมากมายรักพี่เค้าได้อย่างง่ายดาย และจากโฆษณาแบรนด์ที่พี่เขาโฆษณา ผมชอบคำพูดประโยคหนึ่งของพี่คุณคือ "Don't stop your creativity" หรือ "อย่าหยุดคิดอย่างสร้างสรรค์" เป็นแรงบันดาลใจให้ผมตั้งใจเรียนและไม่หยุดที่จะหาความรู้ใส่ตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

พูดถึงพี่คุณซะเยอะะ ขอพูดถึงหนังรัก 7 ปีบ้างนะครับ ขอบอกตรงๆว่า GTH ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆครับ ตอนแรกผมตั้งใจแต่จะไปดูพี่คุณ แต่อีก 2 เรื่องบอกตรงๆเลยว่าน่าสนใจไม่แพ้กันจริงๆกับ มันตรงกับชีวิตจริงและสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราในเรื่องแรก เรื่องที่สองผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร อาจจะเพราะยังไม่ถึงวัยที่วุฒิภาวะจะเข้าใจเรื่องแบบนั้นได้ แต่บอกตรงๆว่าสนุกมากจริงๆครับ เรื่องที่สาม บอกตรงๆว่าผมไม่สนใจรายละเอียดอื่นๆนอกจากพี่คุณ 5555++


จบจากดูหนังต่อด้วยคาราโอเกะครับ หลัง ม. 2 ชั่วโมงแห่งการแหกปาก ทำให้หายเหนื่อยไปเลยแต่แลกมากับเสียงที่แหบไปชั่วคราว 5555++

ผมถือว่าใช้วันหยุดในการพักผ่อนได้คุ้มค่าล่ะครับใน 4 วันที่ผ่านมา และพร้อมที่จะกลับไปเรียนในวันพรุ่งนี้ล่ะ อาจจะเจอเรื่องหนักๆ อีกมากมายแต่ผมก็สู้ตายครับ ^u^


BioMan@KKU

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พูดคุยหลังสอบเสร็จ

ตอนนี้สอบ Mid term เสร็จแล้วครับ.. รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว


กรกฎาคมเดือนแห่งความวุ่นวาย ทำให้ผมได้รู้จริงๆล่ะว่า การทำงานและความรับผิดชอบมันใหญ่แค่ไหน


ผมเริ่มชินแล้วล่ะครับถ้าพรุ่งนี้คือวันจันทร์ 1 สัปดาห์มันผ่านไปเร็วมากจนคุณแทบไม่อยากเชื่อเลยทีเดียว ถ้าคุณใช้เวลาอย่างคุ้มค่า คุณจะพบว่า เราเสียเวลาอันมีค่าไปมากมายขนาดไหน..


สิ่งที่รอผมอยู่ตรงหน้าต่อไปนี้คือ project และหาที่เรียนต่อ 2 เรื่องใหญ่ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้นะครับ


เมื่อวันศุกร์เพื่อนๆสมัยประถม ที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบ 10 ปีสร้างกลุ่มบน facebook ขึ้นมา ทำให้ได้มาเจอกันอีกครั้ง แต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผมรู้สึกชอบ facebook ก็ตรงนี้ล่ะครับ วันนั้นทั้งวันจบด้วยการเล่าเรื่องสมัยประถมกันผ่าน social network เป็นอะไรที่แปลกดีเหมือนกันเนาะ คุณว่าไหม..


เพื่อนสมัยประถมที่ผมติดต่อด้วยจริงๆมีแค่คนเดียว คือ "โจ" ครับ ปัจจุบันเรียนอยู่ที่เภสัช ม.อุบล ผมกับโจได้มาอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้งตอน ม.4 และกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งทำงานด้วยกัน ช่วยกันเรียน ช่วยทำ(ลอก)การบ้าน ถือว่าผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะจริงๆครับ  ทุกวันนี้เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทไปเลย

ไม่สิ.. ผมไม่รู้จะใช้คำว่าเพื่อนสนิทกับโจได้ไหม  แต่โจเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมกล้าเล่าทุกเรื่องให้ฟังได้อย่างสบายใจ เป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมสามารถระบายได้ทุกเรื่อง ถึงหลังๆมาจะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ถ้าได้เจอกัน แค่ 1 วัน คุณเชื่อไหมว่าเรื่องที่ผมจะเล่าให้โจฟังยังไม่หมดเลยด้วยซ้ำไปนะ 5555++


เห็นเพื่อนสมัยประถมแล้ว.. เรื่องเก่าๆมันย้อนมาในหัวเอง ผมบอกตรงๆนะว่าจำเรื่องตอนประถมได้ดีกว่าตอนมัธยมด้วยซ้ำไป  ตอนนี้วางแผนกันว่านัดเจอกันสักครั้งแล้วไปเยี่ยมครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยสอนเราก็ดีนะ ^__^


วันเสาร์.. วันที่หัวใจผมเต้นแรงและมีความสุข แค่ได้ไปกินข้าวกับคนที่เราชอบ คุณว่ามันมีความสุขไหมล่ะ..

เพื่อนผมเคยบอกนะว่า ปี 4 แล้วจะบอกอะไรก็รีบบอกไปเถอะหรืออยากให้จากกันแบบนี้ ไม่ต้องรับรู้อะไร ไม่รู้สิ ผมไม่รู้ว่าผมจะบอกไปทำไม เพราะถ้าผิดพลาดมามองหน้ากันไม่ติดมันจะไม่แย่ยิ่งกว่าเหรอ

แต่ความรู้สึกของผมมันกลับขัดแย้งกับการกระทำ เวลาผมอยู่กับน้องผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือว่าน้ำตา แม้แต่อารมณ์โกรธของน้อง ผมยินดีที่จะรับไว้หมด ไม่อยากให้น้องเอาไปให้ใคร.. ฟังดูเห็นแก่ตัวเนาะว่าไหม... แต่ถ้าคุณได้รักใครแบบที่ไม่ใช่ความใคร่หรือเสน่ห์หา ความรู้สึกเหล่านี้มันจะบังเกิดขึ้นมาเองแบบที่คุณไม่รู้ตัว

วันพฤหัส-ศุกร์นี้เทศกาลเข้าพรรษา และหยุดยาว 4 วันสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมมันคือการเฝ้าปลาน้อยโปรเจ๊ค (แงๆๆๆ TT^TT) แต่ก็ถือว่าจะได้ไปงานรับน้องของภาควิชาในวันเสาร์ที่ 4 อยู่ดีนั่นแหล่ะครับ ดีเหมือนกัน คริคริ...


สุดท้ายที่อยากบอกคือ "คุณโกหกคนอื่นได้ แต่คุณโกหกตัวคุณเองไม่ได้หรอก"





GOOD NIGHT KUB ^__^

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขอบคุณอาจารย์ในวันนี้


เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ จนกลายเป็นว่าทำให้ อ.หงุดหงิดพอสมควร

เนื่องจาก "นศ. ไม่รู้จักการฟังคำสั่งและจดจำรายละเอียดของงาน"


ผมบอกตรงๆ ในฐานะหัวหน้านะครับ..


ผมไม่โทษอาจารย์เลยที่ตำหนิพวกผมยกรุ่นกันในวันนี้


เพราะผมเห็นด้วยมากๆ ว่า "เพื่อนของผมเองส่วนใหญ่ไม่รู้จักการจดจำรายละเอียดของงานและการทำตามคำสั่ง ในเรื่องของการเขียนรูปแบบและนำเสนองาน"

อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ

นี่เป็นพื้นฐานการทำงาน ที่นักศึกษาจบใหม่ จะต้องมีไว้..


การฟังคำสั่งและจดจำรายละเอียดของงาน.. เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการทำงาน เพราะ เจ้านายของคุณเขาจะไม่พูดซ้ำสอง และ เพื่อนร่วมงานของคุณก็ไม่จดจำรายละเอียดงานของคุณหรอก


คุณจะต้องจดจำรายละเอียดของงานให้เสร็จในคราวนั้นและถ้ามีข้อสงสัย ต้องถามในตอนนั้นเลย


ถ้าหลังจากนั้นแล้ว คุณต้องคิดเองบ้างแล้ว! เว้นแต่ว่าคุณไม่รู้จริงๆ และคุณประเมินแล้วว่า ถ้ามันพลาดไปอาจส่งผลเสียต่องานได้ คุณจึงค่อยมาปรึกษาเจ้านายคุณอีกครั้ง


ผมเองก็เช่นกัน..


ผมไม่ได้ถือตัวเองว่าเป็นเจ้านายของเพื่อน แต่ผมขอสะท้อนมุมมองของผมออกมาบ้างว่า "ทำไมเวลาผมแจ้งหรือประกาศอะไรไป ทำไมเพื่อนจึงไม่สนใจ"

เช่น..


ผมแจ้งวัน-เวลา สอบกลางภาค,ปลายภาคไปก่อน 1 เดือนที่มีการสอบ (ผมทำแบบนี้ทุกครั้ง)

แต่พอใกล้สอบ.. เพื่อนมักจะมาถามอยู่ตลอดว่า "สอบวันไหน? กี่โมง?"



บอกตรงๆนะ ผมหงุดหงิดที่จะต้องตอบคำถามในสิ่งที่เคยแจ้งไปแล้ว




คุณไม่ลองมาเป็นหัวหน้าคุณไม่เข้าใจหรอกว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน ถ้าต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำๆอยู๋หลายรอบ และผมเป็นคนไม่ชอบพูดเรื่องเดิมๆ เพราะมันรู้สึกว่า "ที่กูแจ้งไปก่อนหน้านี้ พวกมึงไม่สนใจกันเลยใช่ไหม?"


ฉะนั้น.. ผมจึงไม่รู้สึกโกรธอาจารย์เลยด้วยซ้ำที่ตำหนิพวกผมในวันนี้


ผมกลับไปขอบคุณอาจารย์ด้วยซ้ำ ที่ตำหนิพวกเราในวันนี้ เพื่อว่าเพื่อนๆจะได้รู้ตัวสักทีว่า "การจดจำรายละเอียดของงาน" มันสำคัญแค่ไหน


BioMan @KKU

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

In my heart











ผมมีความสุขเมื่อคุณอยู่เคียงข้าง..


คุณทำให้ผมยิ้มได้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร...


หลายครั้งที่เราทะเลาะกัน.. แต่ผมไม่เคยโกรธคุณลงเลยสักครั้ง..




ผมมีความสุขเวลาเราไปทานข้าวด้วยกัน.. ดูหนังด้วยกัน...


แต่ผมยังไม่กล้าพอที่จะบอกความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณออกไป..




ขอโทษนะ




"ผมมันขี้ขลาด"....









เลือกสาย..




เกริ่นมาผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเกมส์นะครับ แนวๆ DotA สาย int, agi, strenth =__=* 


ผมหมายถึงการเลือกสายทางชีววิทยาของผมตะหาก หลังจากลังเลและเปลี่ยนไป-มาอยู่ 2 ปีกว่าๆ ก็เลือกสายได้ซะที


ตอนแรกที่เข้ามาเรียน คิดมาตลอดว่า พันธุศาสตร์ เหมาะกับตัวเองมากเพราะเป็นเรื่องที่เรียนแล้วเข้าใจที่สุดตอนม.ปลาย คิดแบบนี้อยู่ 2 ปีจนกระทั่งขึ้นปี 3 เจอวิชา vertebrate เข้าไปทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนใจ ผมว่าสัตววิทยาน่าสนใจกว่าเยอะอ่ะ ถึงตอนเรียนผมจะแทบคลั่งกับมันก็เถอะ แต่พอทำข้อสอบออกมาแล้วคะแนนผมดีเหมือนกันนะ  


นี่คือ step แรกในการเลือกสายของเด็กชีววิทยา มข.ครับ 


เอาง่ายๆว่า เข้ามาเรียนเนี่ย (ผมพูดในแง่สำหรับคนที่อยากเรียนจริงๆ ไม่ใช่คนที่เข้ามาเรียนเพื่อจะเอาใบปริญญาอย่างเดียว) จะต้องตอบตัวเองก่อนจบว่า "ตนเองถนัดอะไร" มันจะมี 3 สายใหญ่ๆครับคือ Plant (พฤกษศาสตร์) Zoo(สัตววิทยา) Genetic(พันธุศาสตร์)


แล้วการที่เลือกได้แล้วว่าชอบอะไร ไม่ได้หมายความว่าจะจบเลยนะครับเพราะมันจะมีสายย่อยๆของมันต่อไปอีก ขออธิบายดังนี้..




ถ้าเป็น plant และ zoo
สายย่อยจะเหมือนกันครับ เนื่องจากเป็นงานที่มีการศึกษามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ (อันนี้สาระนะครับไม่ใช่เรื่องตลก -- ชีววิทยามีการศึกษามานานมากแล้วตั้งแต่สมัยกรีก) นั่นก็คือ


- Taxonomy >> ชื่อภาษาไทยคือ "อนุกรมวิธาน" หรือ "ความหลากหลาย" -- สายนี้คือพวกบุกน้ำลุยป่าและเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์ แล้วเอาตัวอย่างนั้นมารวบรวม บันทึกข้อมูลต่างๆ เก็บไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน งานนี้สายนี้มองเผินๆเหมือนว่าเป็นงานที่ทำไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ นักชีววิทยารุ่นใหม่(โดยเฉพาะสาย Molecular)ชอบมองว่างานกลุ่มนี้ล้าหลัง แต่จริงๆแล้วงานอนุกรมวิธานเป็นงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะความหลากหลายทางชีวภาพเกิดขึ้นอยู่ตลอดไม่หยุดนิ่ง ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่ยังไม่ถูกค้นพบ และสิ่งมีชีวิตที่ถูกค้นพบแล้วก็มีการจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้องตามข้อมูลใหม่ๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นงานสายนี้จึงยังมีต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดและนับว่าเป็นสายงานที่เป็นรากฐานสำคัญของชีววิทยา 


- Physiology >> ชื่อภาษาไทยคือ "สรีรวิทยา" -- กลุ่มนี้ขอเรียกว่าพวกชอบลองของ เพราะชอบเอาสัตว์มาทรมาณโดยการฉีดสาร ความเย็น ความเค็ม บลาๆ อะไรก็ว่าไป (พูดเล่นนะครับ 55+) สายนี้โดยหัวใจหลักคือการหาเหตุผลมาอธิบายว่า "ทำไมจึงเกิดเช่นนั้น ทำไมจึงเป็นเช่นนี้" นับว่าเป็นสายงานที่ยากพอสมควร เอาง่ายๆ อย่างกระบวนการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) และการสลายพลังงานระดับเซลล์ (cellular respiration) ที่เราเรียนเห็นเป็นภาพกันอยู่ทุกวันนี้ จริงๆแล้วกว่าจะได้กระบวนการครบถ้วนนั้น ต้องใช้เวลานานเป็นสิบๆปี ทดลองเป็นร้อยๆพันๆครั้ง จึงจะได้ข้อมูลมาอย่างครบถ้วน สรีรวิทยาเป็นรากฐานสำคัญของการแพทย์ เภสัชในปัจจุบัน การทราบถึงต้นตอและสาเหตุการเกิดโรคก็ล้วนใช้สรีรวิทยาอธิบายทั้งสิ้น งานทางด้านสรีรวิทยาต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและการเก็บข้อมูลทุกอย่างไม่ให้ตกหล่นแม้แต่อย่างเดียว คนที่ทำงานสายนี้ได้จะต้องใจเย็นและมีความละเอียดอยู่พอสมควรเลยทีเดียวครับ  


- Anatomy >> ชื่อภาษาไทยคือ "กายวิภาคศาสตร์" -- นักชีวฯกลุ่มนี้คือพวกจก ล้วง แคะเครื่องในออกมาศึกษานั่นแหล่ะครับ หลายๆคนมักจะสับสนคำนี้กับ morphology แต่จริงๆแล้วเป็นคนละสาขากัน anatomy คือการศึกษาถึงโครงสร้างภายในทั้งอวัยวะ กระดูก กล้ามเนื้อ โดยมากจะใช้เป็นข้อมูลในการสนับสนุนงานทางด้านอนุกรมวิธานและเป็นสายงานที่ควบคู่กับสรีรวิทยา 




- Morphology  >> ชื่อภาษาไทยคือ "สัณฐานวิทยา" -- จะคล้ายๆกับ anatomy แต่เป็นงานที่ศึกษาถึงโครงสร้างภายนอกของสิ่งมีชีวิต ถ้าเป็นพืชก็ดูต้น ราก ใบ ดอก ผล ถ้าเป็นสัตว์ก็ดูหัว ลำตัว หาง แขน ขา อะไรประมานนี้ครับ ถือว่าเป็นสายงานสำคัญเช่นกัน เพราะการดูลักษณะภายนอกออกก็ทำให้สามารถระบุสิ่งมีชีวิตได้ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรืออุปกรณ์ไปผ่าดูลักษณะทาง anatomy ให้เสียเวลาด้วยซ้ำ





ถ้าเป็น genetic
สายนี้เป็นสายใหม่ของชีววิทยา เพิ่งเริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อปี 1980 และเป็นสายงานที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน นักชีววิทยาหลายคนอยู่ในสายนี้ เพราะข้อมูลทางพันธุศาสตร์เป็นการระบุความจำเพาะของสิ่งมีชีวิตได้ถูกต้องที่สุด --- สายนี้มีอีก 3 สายย่อย (ตามที่ผมพอทราบมา)

- Cytogenetic >> สายนี้คือ "เซลล์พันธุศาสตร์" ครับ การศึกษาจะอยู่ระดับโครโมโซมและการแบ่งเซลล์เสียส่วนใหญ่ ยังไม่ลงลึกถึงระดับยีน ตัวอย่างการศึกษาก็เช่น การทำแผ่นที่โครโมโซม การทำคาริโอไทป์ อะไรประมาณนี้ ส่วนตัวผมว่าสายนี้ดูเข้าใจที่สุดในกลุ่มพันธุศาสตร์แล้วล่ะครับ เพราะเราสามารถเห็นผลการทดลองได้อย่างชัดเจนกว่าสายอื่นๆ



- Molecular Biology >> สายนี้คือ "ชีววิทยาระดับโมเลกุล"  อันนี้คือสายใหม่ของทางชีววิทยา เริ่มต้นจริงๆเมื่อปี 1990 เป็นการศึกษาถึงระดับยีนและลงลึกไปถึง DNA แต่ ณ ปัจจุบันลงลึกไปถึงระดับ RNA แล้วด้วยนะครับ สายนี้เป็นสายที่สามารถตอบข้อสงสัยของสายอื่นๆได้ทุกสาย ในทุกวันนี้ชีววิทยาระดับโมเลกุลถูกยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยเฉพาะในด้านอนุกรมวิธาร สรีรวิทยา ชีววิทยาระดับโมเลกุลสามารถตอบได้เกือบทุกคำถามจริงๆ (ซึ่งผมว่าเป็นข้อดี) นี่เป็นสาขาใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบ และกำลังมีนักชีววิทยาสายนี้อยู่ทั่วโลก ในเมืองไทยเองสายนี้ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน อาจด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นสายงานใหม่และดูทันสมัยที่สุด (นั่นทำให้นักชีววิทยาสายนี้บางคนชอบถือตัวว่าเหนือกว่าสายอื่น และมักจะดูถูกสายงานอื่นๆอยู่เรื่อยไป -- ความคิดที่ไม่ดี เจอมากับตัวแล้วบอกตรงๆ อยากเอาตีนถืบยอดหน้า -*-) 



- Population Genetic  >> สายนี้คือ "พันธุศาสตร์ประชากร" ถือว่าเป็นสายที่มีมีนักชีววิทยาน้อยคนมากจริงๆ ที่ทำสายนี้ ผมไม่ค่อยทราบรายละเอียดเท่าไรนักในสายนี้ เพราะผมเพิ่งเจอ อ.ที่เป็นนักพันธุศาสตร์ประชากรจริงๆก็ปีนี้เอง และจากการได้ฟังการนำเสนองานวิจัยของอ.ท่าน พบว่า สายนี้ช่วยตอบโจทย์ในวิชาประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการได้เป็นอย่างดี หลายสมมติฐานหรือหลายข้อสงสัยที่ค้างคามาเป็นพันๆปี เช่น คนไทยมาจากไหนและสืบเชื้อสายมาจากใคร สายนี้สามารถตอบได้ โดยใช้ความรู้ทางชีววิทยาระดับโมเลกุลมาช่วยในการวิเคราะห์ สายนี้เป็นสายหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจนะครับ ;)






พูดมาซะเว่นเว้อ (55+) จะเห็นได้ว่าสาขาทางชีววิทยามีอะไรให้น่าศึกษาและค้นหาอีกมากมาย เด็กมัธยมมักเข้าใจว่าชีววิทยาคือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต แต่ถ้าลองได้มาเรียนดูจะพบว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นเยอะครับ 




ที่ผมกำลังศึกษาอยู่ตอนนี้คือ Animal Physiology ครับ (สรีรวิทยาของสัตว์) อย่างแรกล่ะคือผมชอบสัตว์ เพราะคิดว่า มันสามารถประยุกต์ใช้กับคนได้ ไม่ได้ว่าพืชจะประยุกต์ใช้กับคนไม่ได้นะครับแต่ผมไม่เข้าใจและคิดว่ามันยากจริงๆสำหรับผม 


physio เป็นงานที่ยากและต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ซึ่งคนอย่างผมไม่ค่อยมี 555+ แต่เวลาที่ผลออกมาเมื่อไร ผมรู้สึกดีและสนุกกับมันทุกครั้งจริงๆนะครับ ^_^



วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Diary 2o12

15 July 2012

ย้ายไปเขียน exteen blog อยู่ช่วงหนึ่งแต่มีปัญหาเรื่อง log in ซะงั้น กลับมาเขียนในนี้ละกัน -*- (เซ็ง)

มาบ่นๆระบายใน bolg นี่ล่ะครับ.. หายไปนานมากกก เกือบปีพอดี 55+






ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นความวุ่นวายที่่สุดแบบไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ทำให้รู้ว่า เรามันยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มตัวจริงๆซ้กทีสินะ T__T

ปี 4 สอนอะไรมากกว่าที่เราคิด เราทำตัวแบบเด็กๆตอน ปี 1,2,3 ไม่ได้อีกต่อไป เวลาว่างแม้แต่ 1 ชั่วโมงมีค่ามากขนาดไหน ปีนี้สอนได้ดีจริงๆ


อาจารย์ท่านเองก็เหมือนจะสอนเราว่า โตแล้วต้องหัดรับผิดชอบตัวเอง อ.ท่านให้งานมา ให้เวลาทำเป็นเดือนๆ ไม่ทวงถาม ไม่ตาม ไม่บ่น แต่ถึงเวลาต้องมีส่ง ---> นี่แหล่ะชีวิตแบบนักศึกษาของจริง

บทเรียน... เรียนแล้วไม่เข้าใจมี 2 ทาง 1.) เข้าไปถามอาจารย์นอกเวลา 2.) ค้นคว้าหาอ่านเองตามห้องสมุด

ไม่รู้ว่าเพื่อนๆผมคิดยังไงนะ. แต่ส่วนตัวผมชอบวิธีการเรียนแบบนี้มากๆ อาจเป็นเพราะ 1 ล่ะผมไม่ชอบการบังคับและ 2 คือผมชอบที่จะมีอิสระในการทำงาน

งานวิจัยผมตอนนี้พับเก็บอยู่ เพราะติดวิชาสัมมนา, รายงานแลป, สอบ Histo แต่ตอนนี้ได้ผ่านไปแล้ว (โล่งงงงง 55+)  เลยจะกลับมาทำอีกครั้งหนึ่ง และคงต้องทำจริงๆแล้ว เพราะเวลากำลังหมดลงไปทุกทีๆ


ปี 4 เป็นพี่ใหญ่.. นึกว่าจะได้พัก แต่รุ่นน้องก็ยังหาเรื่องปวดหัวมาให้อยู่ตลอด (เฮ้อออ.. ) แต่ผมเองก็ยินดีนะที่จะให้คำปรึกษาอยู่เสมอ เพื่อนผมหลายๆคน มองว่าผมจะไปยุ่งทำไม เราปี 4 แล้วปล่อยน้องไปเถอะ แต่ผมกลับมองว่า "เพราะเป็นปี 4 นี่แหล่ะ เลยยิ่งทิ้งน้องไม่ได้ ต้องคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง และปีนี้ก็ปีสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่กับน้อง"

ถ้าจบออกไป ผมคงคิดถึงน้องปี 3 ที่สุดล่ะครับ เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้ง 3 ปี น้องผมเป็นน้องที่น่ารักมาก และเข้ากับพวกผมได้ดีเป็นพิเศษ น้องปี 2 ใช่ว่าจะไม่ดีนะครับ แต่เพราะอาจเราห่างกันไป 1 ปีเลยทำให้ไม่ค่อยสนิทเท่าที่ควร  (จะสนิทกับน้องปี 2 บางคนเท่านั้น) แต่ยังไงน้องก็ยังน่ารักอยู่เสมอครับ ^_^

ผมกำลังคิดเรื่องเรียนต่อ ป.โทอยู่ คิดหนักพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แต่ที่เล็งไว้แน่ๆคือ อยากไป ม.เกษตร เพราะผมสาย zoology ถ้าจะให้ต่อที่ มข. คงจะพัฒนาตัวเองได้ไม่เต็มที่เท่าไร ฉะนั้นจึงตัดสินใจแล้วว่า "ถ้าจะต่อจาก pure science biology ต้องไปที่อื่น" แต่ถ้าจะไปแบบ applied science (แพทย์ สัตวะ) ผมต่อที่นี่ได้ แต่อยากไปแบบแรกมากกว่า 55+

เวลาของผม ณ ที่ มข.นี้ เหลืออีกไม่กี่เดือนแล้ว รู้สึกใจหายเหมือนกันครับ เพราะ 4 ปีนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ เดี๋ยวแปปก็จะจากเพื่อน น้องๆ อาจารย์แล้ว (เศร้า T_T)


ผมมีเรื่องที่อยากบอกน้องผม คนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด ว่าผมรู้สึกยังไงกับน้องเขา หลายๆครั้งดูเหมือนโอกาสจะเป็นใจให้เป็นแบบนั้น และบางครั้ง (ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า) ผมรู้สึกว่าน้องคิดเหมือนกันกับผม แต่ผมยังไม่กล้าพอที่จะบอกออกไปตรงๆ ว่าผมคิดยังไงกับน้อง แต่เวลาผมอยู่กับน้อง ผมมีความสุขมากๆ บางเวลาผมเครียดมา แค่ได้คุยกับน้องเขา (ไม่ใช่เป็นการระบายความทุกข์ด้วยนะ) คุยเรื่องไร้สาระไป น้องยังทำให้ผมยิ้มได้เลย.. กว่าผมจะรู้ตัวคือ ผมคิดกับน้องเขามากกว่าน้องคนหนึ่งซะแล้วด้วย

เรื่องหัวใจผมไม่รู้หรอกว่าจะหาทางออกยังไง แต่ช่วงนี้ยุ่งมาก เลยมีเวลาน้อยลง ทำให้คิดเรื่องนี้น้อยลงไปด้วย.. แต่ความรู้สึกผมมันยังเป็นแบบเดิมอยู่เสมอ

สัปดาห์หน้าก็ Mid Term แล้วด้วย สัปดาห์นี้ก็ยังคงเป็นช่วงแห่งการเตรียมสอบอีกตามเคย แต่ยังไงผมก็สู้ตายครับ ^_^

ShooT BioMan @KKU